FLYNOW เคยใหญ่ ตอนนี้เล็ก ไม่เห็นเป็นไร เชื่อ ความล้มเหลวกลัวคนจริง

FLYNOW เคยใหญ่ ตอนนี้เล็ก ไม่เห็นเป็นไร เชื่อ ความล้มเหลวกลัวคนจริง

พื้นเพเป็นคนอำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ ครอบครัวทำการเกษตร แต่ตัวเขาไม่ชอบการเกษตรเท่าไหร่ เพราะชอบอะไรสวยๆ งามๆ ชอบความคิดสร้างสรรค์ และอยากทำงานด้านศิลปะ

คือคำแนะนำตัวจาก คุณลิ้ม-สมชัย ส่งวัฒนา ผู้ก่อตั้ง FLYNOW เสื้อผ้าแบรนด์ดังในตำนาน ที่ปัจจุบันดำเนินธุรกิจมาต่อเนื่องได้ 40 ปีแล้ว

“สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เรียนปุ๊บ มีเมียปั๊บ มีลูกปุ๊บ แล้วก็ถูกไล่ออกตอนเรียนครบ 8 ปีพอดี คือเหลืออีกไม่กี่หน่วยกิตจะจบ แต่ในเมื่อไม่ให้เรียนต่อ เราก็เลิกเรียน” คุณลิ้ม ย้อนอดีต น้ำเสียงเรียบๆ

ก่อนเล่าให้ “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ฟังต่อ เขาเป็นลูกชายซึ่งคุณพ่อห่วงมากที่สุด เพราะมีพฤติกรรมส่อเสี่ยงว่าน่าจะทำทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับคำสอน เช่น ตอนเล็กให้เรียนหนังสือให้ดี ตอนโตหามหาวิทยาลัยดีๆ แล้วหางานดีๆ จบออกมาให้หาเมียดีๆ ขณะที่ตัวเขาเป็นคนชอบคิดนอกกรอบ และมักมีการตั้งคำถามกับหลายเรื่องในชีวิต

อย่างไรก็ตาม เขาได้ตั้งประเด็นไว้น่าคิดตรงที่ว่า ถ้า กล้าคิด กล้าทำ แล้ว ต้องกล้าพิสูจน์ด้วยว่า สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำนั้น ต้องไม่ทำให้พ่อแม่และครอบครัวผิดหวัง

กระทั่งราวปี 2526 เสื้อผ้าแบรนด์ชื่อเท่ FLYNOW ได้ถือกำเนิดขึ้นมาประดับวงการแฟชั่นเมืองไทย ภายใต้เอกลักษณ์สีเสื้อผ้า ที่คุณลิ้ม โปรดปราน คือ ดำ-ขาว-ทอง เท่านั้น

คุณลิ้ม เจ้าพ่อฟลายนาว เปิดห้องทำงานส่วนตัวภายในสำนักงานย่านบางพลัด ให้เป็นสถานที่พูดคุยกับ “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์”

“ตั้งต้นทำธุรกิจจากเล็กจริงๆ ด้วยเงินลงทุนที่พี่ๆ น้องๆ เขาช่วยกันมา 3 แสนบาท ซึ่งต่อมาไม่นาน มันก็เติบโตแบบน่าเกลียด โตปีละ 3-4 เท่า โตปีละ 3-4 เท่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง รู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้ยากเกินไป เราก็ทำได้นี่” คุณลิ้ม เล่าให้ฟัง

ก่อนบอกอีกว่า สมัยกิจการรุ่งเรืองสุดขีด ออก Collection อะไรออกมาล้วนประสบความสำเร็จ ทั้ง ภาพลักษณ์ หน้าตาธุรกิจ ดูดีไปหมด ตอนอายุแค่ 30 ต้นๆ เขาจับเงินหลักหลายร้อยล้านแล้ว

จนกระทั่งมาเจอกับ วิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ทุกอย่างก็พังทลายลง

“สมัยต้มยำกุ้ง ผมเป็นคนหนุ่มอายุไม่ถึง 40 ปี แต่เป็นหนี้หลักพันล้านบาท สาเหตุอาจเป็นเพราะเจ้าหนี้บังเอิญเชื่อและหวังว่า เราน่าจะเป็นคนหาเงินให้เขาได้ เลยให้กู้เยอะ ประกอบกับเห็นการเติบโตของฟลายนาวที่กำลังไปได้ดี แต่ปี 2540 มันไม่ได้สนใจอะไร มันกวาดทุกอย่างเรียบหมด เราก็เป็นส่วนหนึ่งของ สึนามิทางเศรษฐกิจ ในครั้งนั้น” คุณลิ้ม เล่าเสียงหม่นเล็กน้อย

แม้ธุรกิจที่ปั้นมากับมือจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก ชนิดหนี้สินล้นพ้นตัว แต่คุณลิ้ม ไม่เคยท้อ

“ท้อ แล้วได้ประโยชน์อะไร คือถามว่าตอนนั้น ท้อไหม มันก็เป็นเรื่องมนุษย์ มนุษย์คนไหน เจอปัญหาเยอะๆ แล้วไม่ท้อ แต่ถามกลับว่า ท้อแล้วได้ประโยชน์อะไร ไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากทำลายจิตใจตัวเอง ใจคุณไม่ดี ร่างกายคุณก็จะพลอยป่วยได้ ไม่เข้าใจว่าจะไปท้อทำไม ผมบอกกับตัวเองว่า ทนได้ก็ต้องทน ทนไม่ได้ก็ต้องทน ถ้าเราเข้าใจเรื่องแบบนี้แล้ว มีเรื่องอะไรจะทนไม่ได้บ้าง” เจ้าของเรื่องราว บอกจริงจัง

และเผยให้ฟังว่า เขาใช้เวลาประมาณ 7 ปี ก็สามารถปลดหนี้พันล้านบาทได้หมด

“เริ่มจากการคิดว่า ถ้ายอมรับปัญหาทุกเรื่อง เอาปัญหามาคลี่ดูให้หมด ก็รู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากวิกฤตต้มยำกุ้งอย่างเดียว มันเป็นปัญหาของเราด้วย เพราะเงินมันหาง่าย ต้องคิดทบทวนมีอะไรบ้าง แต่ตอนนั้น ชื่อเสียงเราดี ฉะนั้น ตอนที่เรากอบกู้ จึงมีทุนเดิมของชื่อเสียงอยู่ แล้วใจเราสู้ ทีมเราสู้ ใช้เวลา 3-4 ปี ก็เคลียร์หนี้สินบางลง แต่ก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลจนปรุโปร่ง” คุณลิ้ม ย้อนช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก

ก่อนเผยอีกว่า ที่ผ่านมา เขามักคิดกับตัวเอง ปัญหาที่ผ่านมา เกิดเพราะตัวเอง ที่หละหลวม สบายเกินไป หลงระเริงกับความสบายในความสำเร็จมากเกินไป เวลาล้มเหลวขึ้นมา มันก็คือบทลงโทษ

เคยใหญ่ ตอนนี้เล็ก ไม่เห็นเป็นไร

ประคองธุรกิจยืนระยะมาได้จนอายุครบ 40 ปีแล้ว แต่ปัจจุบันอาจไม่ “แกรนด์” เหมือนยุคก่อน ประเด็นนี้ คุณลิ้ม บอกกับ “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ว่า

FLYNOW เคยใหญ่ ตอนนี้เล็กก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะฝันอยู่เสมอว่า ถ้าองค์กรเล็ก แล้วทำผลประกอบการได้ดี มีชื่อเสียงมากกว่าเดิม นั่นคือองค์กรในฝัน มันหมดยุคแล้วที่ต้องมีลูกน้อง มีสาขาเยอะๆ เพราะการดูแลคนค่อนข้างยาก ดูแลคนไม่ใช่เอาเงินไปดูแลอย่างเดียว ต้องเอาหัวใจไปดูแลด้วย แล้วการดูแลใจคนนั้นมันง่ายหรือ

“เราเคยใหญ่มาก่อน แต่ตอนนี้คิดว่าไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม ถ้าใหญ่แล้วกลายเป็นมนุษย์สัตว์เศรษฐกิจ   คุณจะเป็นทำไม คุณจะเป็นคนที่มีเงินไปทำไม ถ้าไม่มีชีวิตที่สมบูรณ์ ทั้ง ชีวิตส่วนตัว ครอบครัว งาน  สังคม” คุณลิ้ม บอกอย่างนั้น

เมื่อถามถึงภาพรวมกิจการ FLYNOW หลังผ่านพ้นโควิด ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งวิกฤตระลอกใหญ่ คุณลิ้ม อธิบายว่า ยุคนี้ถ้างานเข้ามาเยอะ ก็จ้างคนนอกทำ ฉะนั้นตอนนี้ จึงมีตั้งแต่ ฟรีแลนซ์ กึ่งชั่วคราว กึ่งถาวร ใครต้องการทำงานแบบไหนบอกได้หมด เพราะได้ออกแบบไว้ทุกรูปแบบ

คนในตำนาน

“เราเริ่มใช้วิธีการบริหารงานหลังจากวิกฤตโควิด ว่า ต้อง SLIM แข็งแรง LEAN มันอาจผิดก็ได้ แต่ทำรวมแล้วได้ผล เพราะหลังโควิด ตัวเลขขยับโตเดือนละ 10 เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าพอฟื้นตัวได้ ขอโตปีหนึ่ง 500 เปอร์เซ็นต์ ถามว่าเป็นเรื่องยากไหม ไม่ยากหรอก เราเคยใหญ่กว่านี้มาเยอะ การที่เราจะโตไปแค่นี้ไม่ยาก ถามว่าทำไมไม่ยาก เพราะเรารู้จักมัน” คุณลิ้ม อธิบายจริงจัง

ก่อนบอก แต่ถึงแม้รู้จักธุรกิจของตัวเองดี ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับยอมรับปัญหาทุกกรณีของปัญหา การจะรุกอะไรได้ ต้องสำรวจบ้านของคุณ สำรวจคู่แข่งของคุณ สำรวจเทรนด์ทั้งหมด ว่าสู้เขาได้ไหม ถ้าสู้ไม่ได้ อย่าหลอกตัวเอง ถ้าสู้ได้ ก็ออกรบสิ ออกรบแพ้อีก กลับมาตั้งหลักใหม่ มันต้องมีสักวันเป็นของเรา

เมื่อขอให้ฝากแง่คิดสำหรับการฝ่าฟันอุปสรรคทางธุรกิจ ในฐานะเคยผ่านวิกฤตมาแล้วหลายระลอก คุณลิ้ม ออกตัว ไม่กล้าให้คำแนะนำหรือให้คำสอนแก่ใครๆ แต่ขอฝากเป็นคำบอกเล่าไว้ในโอกาสนี้ ว่า ถ้าเจอปัญหา ข้อแรก จิตอย่าตก ถ้าจิตตก ทำยังไงก็ได้ ให้จิตคุณแข็งแรงก่อน

ถ้าจิตคุณแข็งแรง ร่างกายคุณจะแข็งแรงตาม เมื่อคุณมีกำลังส่วนนี้ที่แข็งแรงแล้ว คุณเปิดปัญญาออกมา และระดมทีมที่คุณไว้ใจที่สุด มาร่วมกันเจียระไนปัญหาทั้งหมด ถ้าเป็นปัญหาใหญ่ค่อยๆ แก้ ปัญหาปานกลางแก้ให้เร็วที่สุด ปัญหาเล็กไม่ใช่ปัญหา

“ต้องกล้ายอมรับความจริงทุกเรื่อง อย่างเปิดอกเปิดใจ เพราะผมเชื่อว่า ความล้มเหลวกลัวคนจริง” คุณลิ้ม ทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น