ที่มา | เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ทุกวันนี้ สินค้าเกษตรหลายชนิดขายได้ราคาถูก สวนทางกับ ปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพง หากใครมองหาช่องทางลดต้นทุนการผลิต ขอแนะนำให้ลองใช้ปุ๋ยมูลสุกร เพราะหาง่าย แถมมีธาตุอาหารพืชที่จำเป็นครบทั้ง 13 ชนิด (ได้แก่ N, P, K, Ca, Mg, S, Fe, Mn, Cu, Zn, B, Mo, และ Cl) ที่พืชต้องการ
ที่ผ่านมา เกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หันมาใช้ปุ๋ยขี้หมูไปใส่ในแปลงนาปรังที่ปลูกข้าวหอมมะลิ ปรากฏว่าได้ผลผลิตสูงกว่าเดิมอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากต้นข้าวได้รับธาตุอาหารที่จำเป็นครบถ้วน ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตดี ลำต้นแข็งแรง และให้ผลผลิตไม่แตกต่างจากข้าวที่ปลูกในจังหวัดภาคกลาง เช่น นครปฐม และสุพรรณบุรี
เกษตรกรบางรายนำน้ำจากบ่อมูลสุกรสูบขึ้นมาใส่ในนาข้าวอายุ 1-2 เดือน ประมาณ 100 ลิตร ต่อไร่ ผลที่ได้คือ ต้นข้าวแข็งแรงและมีใบสีเขียวจัด คาดว่ามีคลอโรฟิลล์มาก ต้นข้าวไม่ล้มง่าย ใบหนา ไม่มีแมลงรบกวน (ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลง) รวงใหญ่และเหนียว เมล็ดข้าวมีความสมบูรณ์สูง น้ำหนักดี มีเปอร์เซ็นต์ข้าวหักน้อยมากเมื่อนำไปสีเป็นข้าวเจ้า นับว่าเป็นข้าวอินทรีย์ที่สมบูรณ์มาก ส่วนแปลงนาที่ต้นข้าวโตไม่ทันกัน เมื่อฉีดพ่นน้ำมูลสุกรในแปลงนา ก็ช่วยให้ต้นข้าวเจริญเติบโตและแก่สม่ำเสมอกันทั้งแปลง นอกจากนี้ ยังพบว่า น้ำในนาข้าวมีสาหร่ายและแพลงตอนชนิดต่างๆ ในปริมาณมาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของข้าว
ก่อนหน้านี้ สถาบันวิจัยสุวรรณวาจกกสิกิจ เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาปศุสัตว์ และผลิตภัณฑ์สัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เคยทดลองใช้มูลสุกรแห้ง200 กิโลกรัม (หากไม่มีมูลสุกรก็ใช้น้ำล้างคอกแทนได้ ) กับนาข้าว 1 ไร่ ในระยะหมักตอซัง พบว่า ต้นข้าวสามารถออกรวงได้เร็วขึ้น 5-7 วัน โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเร่งรวงข้าว
ด้านชาวนาพื้นที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ใช้น้ำสกัดมูลสุกร จำนวน 220 ลิตร แช่เมล็ดข้าว ฉีดพ่นทางใบ และใส่ในดิน รวมแล้วใช้มูลสุกรเต็มระบบ 225 กิโลกรัม ต่อไร่โดยทำติดต่อกันมาได้ 4-5 ปี พบว่า สามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตสูงอย่างต่อเนื่องรวมแล้ว 12 ครั้ง ( ปลูกข้าวได้ปีละ 3 ครั้ง) จึงสรุปได้ว่า การปลูกข้าวโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์มูลสุกรจะให้ผลผลิตสูงกว่าใช้ปุ๋ยเคมี โดยได้ผลผลิตเฉลี่ย 1-1.3 ตัน ต่อไร่ เมล็ดมีน้ำหนักดีกว่าเดิม เพราะการเพิ่มผลผลิตข้าวจะทำได้ง่ายกว่า เพราะปลูกข้าวอยู่ในน้ำ ทำให้น้ำปุ๋ยมูลสุกรกระจายได้อย่างทั่วถึง จึงได้ผลผลิตที่สูงขึ้น แถมช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สถาบันวิจัยสุวรรณวาจกกสิกิจ ฯ เคยทดสอบการใช้ปุ๋ยมูลสุกรในแปลงปลูกมันสำปะหลัง ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี และราชบุรี โดยใช้น้ำมูลสุกรซึ่งมีธาตุอาหารครบ อัตรารวม 500 กิโลกรัม ต่อไร่ เริ่มจากการแช่ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังในน้ำสกัดมูลสุกรก่อนปลูก 1 คืน เพื่อให้ท่อนพันธุ์ดูดธาตุอาหารเข้าไป เมื่อมันสำปะหลังงอกและตั้งตัวได้แล้ว ก็ใช้น้ำสกัดจากมูลสุกรหรือน้ำจากบ่อพักหรือบ่อไบโอก๊าซ รดดินหรือผสมในระบบน้ำหยด รวมทั้งฉีดพ่นน้ำสกัดมูลสุกรทางใบทุก 15 วัน ช่วยให้ต้นอ่อนมันสำปะหลังที่งอกออกมาโตเร็ว มีอัตราการรอดสูง แม้ว่าจะปลูกระยะห่าง โดยใบจะประสานกันภายใน 2-3 เดือน จึงไม่มีปัญหาเรื่องวัชพืช
การปลูกมันสำปะหลังโดยใช้ระบบน้ำหมักมูลสุกร คือ การแช่ท่อนพันธุ์ในน้ำปุ๋ยหมักร่วมกับการให้น้ำหลังปลูก จะทำให้มันสำปะหลังออกรากมากกว่า 20 ราก ซึ่งต่อมารากส่วนหนึ่งจะพัฒนาเป็นหัว ถ้ามีรากขนาดใหญ่มากๆ ก็จะมีโอกาสเพิ่มผลผลิตหัวมันได้มาก โดยช่วงเดือนที่เกษตรกรนิยมปลูกกันมากคือ กุมภาพันธ์-มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงแล้ง และรากจะเริ่มสะสมอาหารในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีน้ำสมบูรณ์ขึ้น การฉีดปุ๋ยหมักทางใบช่วยทุก 15 วัน จะทำให้มีเปอร์เซ็นต์แป้งดีมาก คาดว่าปุ๋ยหมักมูลสุกรที่มีธาตุอาหารครบถ้วนและมีฮอร์โมนพืช จะช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์แสงและการสร้างแป้ง
ทั้งนี้ผลการศึกษาพบว่า การปลูกมันสำปะหลังในดินทรายจะได้ผลผลิตดีที่สุด และแนะนำให้เกษตรกรปลูกต้นมันสำปะหลังในระยะห่างๆ เพื่อให้หัวมันสำปะหลังเติบโตได้ดีและมีผลผลิตสูงขึ้นเฉลี่ย16 ตันต่อไร่ ความสูงของต้นที่สมบูรณ์ ประมาณ 4-5 เมตร ขณะเดียวกันพบว่า แปลงนาข้าวและแปลงปลูกมันสำปะหลัง ที่ใช้มูลสุกร จะได้ผลผลิตสม่ำเสมอ เพราะมีแพลงตอน สาหร่าย และจุลินทรีย์เกิดขึ้นหลังการใช้มูลสุกรทำให้คุณภาพดินดีขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้น ใครอยากได้ผลผลิตสูง มีคุณภาพดี แถมประหยัดต้นทุน ก็แนะนำให้ทดลองใช้ปุ๋ยมูลสุกร เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในแปลงเพาะปลูกของคุณ