“กระเป๋าหนังไทย”คุณภาพไม่แพ้แบรนด์อินเตอร์ ขายปีเดียวได้เกือบ 10 ล้าน

 ปัจจุบัน มีเครื่องหนังแบรนด์ไทยจำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จทั้งยอดขาย และมีชื่อเสียงโด่งดังถึงขนาดไปแจ้งเกิดในเวทีตลาดโลกได้ หนึ่งในนั้นคือ วารา (VARA) แบรนด์เครื่องหนังแฟชั่นของดีไซเนอร์คลื่นลูกใหม่พันธุ์ไทยที่ใช้เวลาเพียงปีเศษ สามารถสร้างยอดขายได้สูงเกือบ 10 ล้านบาท ทำตลาดทั้งในประเทศและส่งออกต่างประเทศ อาทิ ไต้หวัน สิงคโปร์ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ธุรกิจนี้บริหารงานโดย รวิวรรณ  วรสินสิริ หรือ คุณจีจี้ ทายาทเจ้าของกิจการโรงงานผลิตกระเป๋าหนังแท้ ที่สั่งสมประสบการณ์มากว่า 50 ปี

a

ธุรกิจเดิมกงสี คือ ต้นทุน
ปั้นตลาดใหม่ รุ่งกว่าเดิม

คุณจีจี้ เล่าว่า เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่เปิดโรงงานผลิตกระเป๋าหนังแท้และกระเป๋าประเภทล้อลาก เห็นการเติบโตของธุรกิจนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งเดือนกันยายน 2014 ต่อยอดธุรกิจกงสีด้วยการแยกตัวออกมาสร้างแบรนด์เครื่องหนังเอง เจาะกลุ่มผู้หญิงชอบเครื่องหนังแฟชั่นคุณภาพดี ดีไซน์ล้ำ รวมถึงโหมทำการตลาดออกงานอีเว้นต์ทั้งปีมากถึง 50 งานเลยทีเดียว

คุณจีจี้จบการศึกษาปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทำงานแวดวงสื่อโฆษณา บริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง ราว 6 ปี เรียกว่าสั่งสมประสบการณ์และเรียนรู้วิธีการสร้างแบรนด์ การขายและการตลาด มาพอสมควร จวบจนถึงเวลาที่จะมาสร้างธุรกิจของตัวเอง

“จุดเริ่มต้น เครื่องหนังแบรนด์ วารา เกิดจากจีจี้อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ซึ่งต้นทุนเดิมที่มีอยู่คือ องค์ความรู้ในการผลิตเครื่องหนัง อย่างน้อยโรงงานของพ่อแม่ก็สามารถเป็นแบ็กอัพให้ได้ แต่เลือกโฟกัสลูกค้าผู้หญิงวัยทำงานตอนต้น จนถึงผู้หญิงวัยกลางคน ซึ่งหัวใจสำคัญคือ ดีไซน์และคุณภาพต้องให้โดนใจคนกลุ่มนี้”

1461047862165

เรียกว่าจุดแข็งของเครื่องหนัง แบรนด์ วารา คือ องค์ความรู้ในการผลิตเครื่องหนัง หญิงสาว เผยว่า กระเป๋าแบรนด์นี้มีดีที่หนัง ใช้หนังกลับไม่พิมพ์ลาย หรือ หนังนูบัค (Nubuck) เป็นหนังวัวมีเส้นขนละเอียดอ่อน มีราคาแพงมาก เกิดจากกรรมวิธีการฟอกหนังชนิดพิเศษ โดยนำเอาหนังวัวดิบมาฟอก ไม่มีการเคลือบผิวชั้นบน ไม่มีการลงน้ำมัน เพื่อให้หนังวัวคงสภาพความเป็นธรรมชาติที่สุด มีผิวสัมผัสเหมือนผ้ากำมะหยี่ แต่คงไว้ซึ่งความทนทาน ตามแบบฉบับของหนังวัวแท้ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นำเข้าจากต่างประเทศแถบยุโรป จากนั้นนำมาให้โรงฟอกที่ฟอกให้แบรนด์วาราโดยเฉพาะ.

img_8135

นอกจากจุดแข็งมีดีที่หนัง กระเป๋าแบรนด์นี้ยังน้ำหนักเบา เพราะ 95 เปอร์เซ็นต์ของกระเป๋า เป็นหนังนูบัค ไม่มีอะไหล่มาบดบังความงามและไม่ทำให้กระเป๋าหนัก มีสีให้เลือกมากกว่า 10 เฉดสี ดีไซน์ตามเทรนด์โลก ปัจจุบันมีหน้าร้านทั้งหมด 3 สาขา ในกรุงเทพมหานคร และส่งออก ไต้หวัน สิงคโปร์ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา

“กระเป๋าของวารา 80 เปอร์เซ็นต์ ตัดเย็บด้วยมือจากช่างที่เชี่ยวชาญ อาศัยความพิถีพิถันมาก พลาดไม่ได้เพราะหนังนูบัคมีราคาแพง สั่งผลิตจากโรงฟอกหนังแต่ละครั้ง 10,000-15,000 ฟุต ตัดเย็บกระเป๋าทั้งขนาดเล็ก-ใหญ่ ได้ราว 1,000 ใบ”

1461047857552

ปีเดียวโตไวมาก
บุกลูกค้าทุกช่องทาง

ด้านการทำตลาด หญิงสาว ระบุว่า สร้างการจดจำให้ลูกค้าด้วยการขยันออกอีเว้นต์ งานแฟร์ ออกบู๊ธเกือบทุกที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปี 2015 ออกงานแฟร์ 50 งาน ไปต่างประเทศ 2 ครั้ง ญี่ปุ่นกับฮ่องกง 1 ปีที่ผ่านมาออกกระเป๋ามาแล้ว 4 คอลเล็กชั่น เจาะตลาดผู้หญิงรุ่นใหม่ที่ชอบเครื่องหนัง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หวังกระตุ้นคนไทยเห็นคุณค่าและใช้หนังแท้มากขึ้น ดันวงการอุตสาหกรรมหนังแท้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่วนรายได้ทั้งปีที่ผ่านมา มูลค่ารวม 8.5  ล้านบาท

สำหรับกลุ่มลูกค้า คุณจีจี้ บอกว่า เป็นผู้หญิงวัยทำงานตอนต้น จนถึงผู้หญิงวัยกลางคน ค่อนข้างมีกำลังซื้อ เป็นผู้หญิงลุยๆ ไม่ห่วงสวย ชอบแฟชั่น ขณะเดียวกัน ไม่หวือหวาเกินไป

เป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วที่กระเป๋าวาราครองใจสาวๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ หญิงสาวเปิดเวิร์กช็อปโดยสอนวิธีการทำเครื่องหนังง่ายๆ ที่ลูกค้าสามารถทำเองได้ การมีส่วนร่วมเหล่านี้จะส่งผลให้ลูกค้ารู้จักและผูกพันกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น

1461047849539

“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้มองหาคุณค่ามากกว่าสินค้า และหันมาสนใจสินค้าประเภท D.I.Y มากขึ้น เราจึงตอบสนองความต้องการในแง่ความรู้สึกของคน ด้วยการเปิดเวิร์กช็อปโดยสอนวิธีการทำเครื่องหนังง่ายๆ คอร์สสำหรับงานเครื่องหนังทำมือในสไตล์วารา ลูกค้าจะสนุกไปกับการทำหนังแท้ด้วยมือได้ตลอดทั้งปีแบบไม่มีเบื่อ

การสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคคือ การสร้างโอกาสทางการตลาดให้แบรนด์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง นับเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เวลาเวิร์กช็อปจะสอดแทรกความรู้ทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับหนัง ให้ลูกค้ามีผลงานทำมือเป็นของตัวเองไม่ซ้ำกับคนอื่น

คุณจีจี้ เผยว่า ในอนาคตมีความคิดอยากนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะตอนนี้ก็มีคนสนใจ เชิญชวนให้ร่วมหุ้น แต่ตอนนี้ขอทำธุรกิจให้แข็งแกร่ง เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่คุณภาพ ดีไซน์ ผนวกด้วยราคาที่ไม่เกินจริง ทุกคนจับต้องได้  นั่นคือปัจจัยที่ทำให้สินค้าได้รับการยอมรับจากตลาดไม่ยาก