ผู้ประกอบการ “ชานมไข่มุก” ลงมติ ปี 63 ธุรกิจขาลง จะอยู่รอดได้ ต้องแตกต่าง

ผู้ประกอบการ “ชานมไข่มุก” ลงมติ ปี 63 ธุรกิจขาลง จะอยู่รอดได้ ต้องแตกต่าง

ติดอยู่ในโผธุรกิจดาวร่วง มีความเสี่ยงที่จะเจ๊ง ในปี 2563 สำหรับ ธุรกิจร้านชานมไข่มุก ธุรกิจร้านกาแฟที่ทำเลไม่ดี ไม่มีแฟรนไชส์ ร้านกาแฟไซซ์เล็ก เนื่องจากมีการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง มีการตัดราคากัน

ในฟากของผู้ประกอบการ อย่าง KAMU (คามุ) ร้านชานมไข่มุก สัญชาติไทย ที่เปิดมานาน 8 ปี เจาะกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน ปัจจุบันมี 100 สาขา ในประเทศ 80 สาขา ต่างประเทศ 20 สาขา อาทิ อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว

คุณทินกฤต สินทัตตโสภณ เจ้าของธุรกิจ KAMU (คามุ) ให้ข้อมูลว่า ปี 2562 ร้านชานมไข่มุก เกิดขึ้นมาก เฉลี่ยเดือนละ 7 แบรนด์ ยกตัวอย่าง ย่านสยามสแควร์มีร้านชานมไข่มุก ราว 30 ร้าน เรียกว่าการแข่งขันสูงขึ้น เป็นตลาดที่ดุเดือดมากเลยทีเดียว

“ทุกวันนี้มองไปทางไหนเจอแต่ร้านชานมไข่มุก เมนูมีความคล้ายคลึงกันมาก ฉะนั้น เพื่อสร้างความแตกต่าง และเพื่อให้ลูกค้าไม่ลืมแบรนด์ ร้านคามุ จะออกเมนูใหม่ๆ เฉลี่ยเดือนละ 1 เมนู และปัจจัยที่คามุจะสร้างความต่าง คือ 1. รสชาติอร่อย เมนูหลากหลาย 2. แพ็กเกจจิ้งสวยเพื่อให้ลูกค้าไว้ถ่ายรูป และ 3. ใช้พลังโซเชียล มีการจ้างบล็อกเกอร์รีวิวบ้าง”

ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า การแข่งขันที่สูงขึ้น นับเป็นความท้าทายที่คนทำธุรกิจนี้ต้องเจอ ส่งผลให้ปี 2563 ชานมไข่มุกเริ่มจะอิ่มตัว เป็นขาลงของบางแบรนด์หากไม่ทำการตลาดดีพอ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงได้เห็นเจ้าใหม่ๆ เข้ามา

“ปี 2563 คิดว่าจะเป็นช่วงขาลงของธุรกิจชานมไข่มุก ถ้าใครคิดจะทำธุรกิจนี้ ต้องสร้างความแตกต่าง ทางแบรนด์คามุจะชะลอการขยายสาขาในไทย แล้วเน้นไปต่างประเทศ ในต้นปีนี้จะไปประเทศมาเลเซีย”