ซีไอเอ็มบี ไทย ประกาศกำไรสุทธิ ปี 2566 จำนวน 1,605.3 ล้านบาท

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประกาศกำไรสุทธิ ปี 2566 จำนวน 1,605.3 ล้านบาท  

  • กำไรสุทธิ 1,605.3 ล้านบาท ลดลง 9% หรือ 1,305.5 ล้านบาท
  • รายได้จากการดำเนินงาน 13,771.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% หรือ 9 ล้านบาท
  • รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 163.3 ล้านบาท หรือ 1.7%
  • รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลง 260.3 ล้านบาท หรือ 17.9%
  • เงินให้สินเชื่อของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 245 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1%
  • เงินฝากอยู่ที่ 4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1%
  • อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ที่ร้อยละ 124.2%
  • เงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 22.0% เป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 16.4%

พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 13,771.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.3 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2565 สาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นร้อยละ 10.5 และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิร้อยละ 1.7 สุทธิกับการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิร้อยละ 17.9 กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 10.6 เป็นจำนวน 5,138.3 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ 10.0 กำไรสุทธิจำนวน 1,605.3 ล้านบาท ลดลงจำนวน 1,305.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 44.9 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2565 เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเติบโตสูงกว่าการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงาน ประกอบกับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.5 โดยเป็นการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับหลักความระมัดระวังของธนาคารและเหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่

รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นจำนวน 170.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.3 เป็นจำนวน 13,771.6 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2565 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานอื่นจำนวน 267.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.5 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเงินลงทุนและกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ สุทธิกับการลดลงของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 163.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.7 เป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อและการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินลงทุน สุทธิกับการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจำนวน 260.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.9 ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัยและรายได้ค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่าย

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2565 เพิ่มขึ้นจำนวน 782.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.0 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าเผื่อการด้อยค่าของทรัพย์สินรอการขายและค่าภาษีอากร ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 62.7 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2565 อยู่ที่ ร้อยละ 57.7

อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 2.6 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 2.7 เป็นผลจากต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น

วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 245 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 310.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 จากสิ้นปี 2565 ซึ่งมีจำนวน 289.7 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็นร้อยละ 78.9 จากร้อยละ 81.2 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565

สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 8.2 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ร้อยละ 3.3 คงที่เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เป็นผลจากการที่กลุ่มธนาคารมีนโยบายการจัดการความเสี่ยงด้านการให้สินเชื่อที่รัดกุม มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางในการเรียกเก็บหนี้จากสินเชื่อด้อยคุณภาพที่มีอยู่ และการแก้ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 124.2 เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 114.6 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 9.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท

เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีจำนวน 59.2 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 22.0 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 16.4

 

เกี่ยวกับ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (“CIMB Thai”) เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการเต็มรูปแบบและครบวงจร ผ่านเครือข่ายสาขา 54 แห่งทั่วประเทศไทย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566) โดยซีไอเอ็มบี ไทย ยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของการก้าวเป็น ‘a digital-led bank with ASEAN Reach’ ธนาคารอาเซียนขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล และสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงบนความยั่งยืน เพื่อช่วยให้ลูกค้าและสังคมก้าวไปข้างหน้า โดยใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เครือข่ายในภูมิภาคอาเซียน และเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของเรา

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ถือหุ้น 94.83% โดยกลุ่มซีไอเอ็มบี โฮลดิ้ง เบอร์ฮาด กลุ่มการเงินชั้นนำในอาเซียน และเป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่มีสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในมาเลเซีย กลุ่มซีไอเอ็มบี มีสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Bursa Malaysia มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ประมาณ 5.79 หมื่นล้านริงกิต ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้ลูกค้ารายย่อย ลูกค้าธุรกิจขนาดกลาง ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกรรมการเงิน ธนาคารอิสลาม และบริหารจัดการสินทรัพย์ ผ่านเครือข่ายแข็งแกร่งใน 8 ประเทศอาเซียน (มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ไทย กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา และฟิลิปปินส์) นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายในจีน ฮ่องกง และสหราชอาณาจักร อีกด้วย ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.cimbthai.com