กระจกวิเศษ สุดไฮเทค ตัวช่วยเลือกชุดสวย กล้อง 360 องศา มองการแต่งตัวทุกมิติ แสดงสีเปรียบเทียบ

ทุกวันนี้ เทคโนโลยีมีส่วนช่วยให้การใช้ชีวิตของมนุษย์ง่ายขึ้นมาก ไม่เฉพาะแต่เรื่องที่เกี่ยวกับการผลิต หรือระบบสื่อสารที่ซับซ้อน แต่ยังรวมถึงเรื่องใกล้ตัวอย่างการลองเสื้อผ้า

ร้านเสื้อผ้าชื่อดังหลายแห่งหันมาใช้กระจกไฮเทค เป็นผู้ช่วยส่วนตัวคัดสรรเสื้อผ้าที่เหมาะกับลูกค้า เพราะหวังให้มียอดขายเพิ่มขึ้น จากการที่ลูกค้าสามารถหาเสื้อผ้าที่ชอบติดไม้ติดมือกลับบ้าน แทนที่จะเดินออกจากร้านมือเปล่า

สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ปัจจุบัน มีร้านเสื้อผ้าจำนวนมากติดตั้งกระจกอัจฉริยะไว้ในห้องลองเสื้อผ้า เพื่อทำหน้าที่ผู้ช่วยให้กับลูกค้าแบบส่วนตัว รวมถึงนีแมน มาร์คัส และนอร์ดสตรอม ก็ทดลองใช้กระจกไฮเทคเหล่านี้

สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ก็มีหลากหลาย ตั้งแต่ติดตั้งกล้องวิดีโอ 360 องศา เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพทุกมิติ จะได้รู้ว่าสวมกระโปรงตัวนี้แล้วทำให้ก้นดูใหญ่ไปหรือไม่ สีไหนดูเข้ากับผู้สวมมากที่สุด รวมไปถึงระบบที่สามารถแนะนำเสื้อผ้าที่น่าจะเหมาะกับลูกค้าแต่ละคน โดยอิงกับข้อมูลรูปร่างและความชอบของลูกค้า บางร้านยอมให้ลูกค้าถ่ายภาพเซลฟี่และส่งภาพวิดีโอการลองสวมเสื้อผ้าให้ด้วย

บริษัท เมโมรีมิเรอร์ เจ้าของสิทธิบัตรกระจกอัจฉริยะที่มีชื่อว่า เมโมมี (MemoMi) เป็นหนึ่งในบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างมาก โดยนีแมน มาร์คัส ได้เริ่มติดตั้งระบบของเมโมรีมิเรอร์ไว้ในบางสาขา

เมโมมีจะติดตั้งเซ็นเซอร์ และระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งสามารถจับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ รวมทั้งมีกล้องวิดีโอที่จับภาพแบบ 360 องศา เพื่อให้ลูกค้ามองเห็นภาพการสวมใส่เสื้อผ้าได้ทุกมิติ รวมทั้งเปรียบเทียบส่วนต่างๆ ได้

ส่วนร้านเสื้อผ้าของดีไซเนอร์ “รีเบกก้า มินคอฟฟ์” ในนิวยอร์กและซานฟรานซิสโก ก็ทดลองเทคโนโลยีใหม่ในห้องลองเสื้อผ้า โดยลูกค้าสามารถแตะที่กระจก ซึ่งเป็นหน้าจอแบบทัชสกรีน เพื่อเปิดแค็ตตาล็อกเสื้อผ้า และเลือกชุดที่ต้องการลองสวม

ที่น่าสนใจคือ กระจกวิเศษจะจดจำเสื้อผ้าชุดที่ลูกค้าต้องการลอง และแสดงสีอื่นๆ เพื่อเปรียบเทียบบนหน้าจอ

            

ยูริ มินคอฟฟ์ ซีอีโอของร้าน บอกว่า สาขาที่ทดลองใช้เทคโนโลยีกระจกไฮเทค สามารถทำยอดขายได้รวดเร็วขึ้น 2.5 เท่า นอกจากนี้ นักช็อปยังเพิ่มจำนวนสินค้าที่ซื้อราวๆ 30% จากเดิม

การใช้กระจกไฮเทคเป็นการใช้ประโยชน์จากห้องลองเสื้อผ้า ที่เดิมเคยถูกมองข้าม ให้กลับมามีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า

บริษัทที่ปรึกษาด้านค้าปลีก “ปาโก อันเดอร์ฮิลล์” ระบุว่า กระจกอัจฉริยะนี้ช่วยเพิ่มยอดขายให้ทางร้านได้ราว 36% ส่วนลูกค้า 71% ที่ลองเสื้อผ้าในห้องลองไฮเทคยอมควักเงินซื้อสินค้าในที่สุด ในขณะที่ห้องลองเสื้อผ้าแบบเดิมๆ ไม่ดึงดูดใจ เพราะมีนักช็อปแค่ 28% ที่เข้าไปลองเสื้อผ้าในห้องลองที่ใช้กระจกธรรมดา

ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า มีแนวโน้มว่าแบรนด์แฟชั่นและร้านเสื้อผ้าจะหันมาใช้บริการกระจกอัจฉริยะแบบนี้มากขึ้น ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้มีราคาถูกลง

นอกจากจะเป็นบริการผู้ช่วยแฟชั่นให้แก่ลูกค้า เทคโนโลยีกระจกไฮเทคยังจะช่วยให้ทางร้านมีข้อมูลของนักช็อป และนำไปสู่การแนะนำสินค้าเพิ่มเติมในอนาคต

แม้แต่ผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในก็ไม่พลาดเทรนด์นี้ อย่างร้านชุดชั้นในจากอังกฤษ “ริกบี้ แอนด์ เพลเลอร์” สาขาฮ่องกง รวมถึงสาขาในยุโรปอีก 6 แห่ง ก็นำกระจกไฮเทคมาช่วยยกระดับบริการวัดและตัดชุดตามไซซ์ลูกค้า

กระจกของริกบี้ แอนด์ เพลเลอร์ ใช้ระบบสแกนแบบ 3 มิติ เพื่อช่วยวัดสัดส่วนที่ถูกต้องของลูกค้า

เริ่มต้นจากพนักงานนำเทปวัดค่ามาติดไว้ที่ลำตัวของลูกค้า เพื่อทำหน้าที่แทนผู้ช่วย จากนั้นลูกค้าก็ยกแขนขึ้น และหมุนตัวช้าๆ ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา ทำให้ระบบสแกน 3 มิติ วัดสัดส่วนทั้งหมด 140 จุด บนร่างกาย

ข้อมูลสัดส่วนจะถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์แท็บเลตของพนักงาน เพื่อประมวลผลเป็นขนาดชุดชั้นในเฉพาะรุ่นที่เหมาะกับขนาดหน้าอกของลูกค้า

ลูกค้าสามารถเลือกบราตามขนาดที่วัดได้ พนักงานก็จะใช้กระจกในการโชว์ภาพลูกค้ากับชุดชั้นในแบบต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าคัดแบบที่ชอบ ในสไตล์ที่ใช่

ลูกค้าบางส่วนชอบกระจกอัจฉริยะนี้ เพราะรู้สึกว่าวัดค่าได้แม่นยำกว่าใช้คนวัด แถมบางช่วงเวลาสัดส่วนก็อาจจะเปลี่ยนไป การใช้เทคโนโลยีวัดก็จะทำให้สวมใส่ชุดชั้นในได้พอดี

ขณะเดียวกัน ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งทางร้านที่ใช้เทคโนโลยีกระจกวิเศษ ต่างยืนยันว่ามีนโยบายปกป้องข้อมูลลูกค้าอย่างดี

ด้านริกบี้ แอนด์ เพลเลอร์ ระบุว่า ทางร้านจะลบภาพดิจิตอลของลูกค้าทิ้งทุกครั้งหลังการสแกน แต่จะบันทึกสัดส่วนของลูกค้าไว้ในฐานข้อมูล เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับซื้อสินค้าในอนาคต หากลูกค้าอนุญาต