ครูสอนโยคะ อยู่ไม่ไหว ยิมปิด 3 รอบ เพราะวิกฤต ยอมควักเงินแสน เปิดร้านกาแฟ 

เป็นเวลาเกือบ 10 ปีที่ คุณนัท-ณัฐพร ฉวีรัตน์ ทำงานอยู่กับตัวเลข บัญชีและการเงินตามสิ่งที่เล่าเรียนมา จนถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต ตัดสินใจทิ้งเงินเดือน เปลี่ยนมาเดินสายสุขภาพ เป็นครูสอนโยคะ

“นอกจากโยคะจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วจิตใจยังดีขึ้นด้วย เริ่มหาที่เรียนเพราะอยากเป็นครูสอนโยคะ สุดท้ายได้เข้าเรียนในสถาบันแห่งหนึ่งจนจบคอร์สได้ใบรับรองมา ระหว่างนั้นก็เริ่มคิดเรื่องลาออกจากงานประจำ เดินเข้าไปคุยกับเจ้านาย เขาก็ถามว่าแน่ใจนะ เพราะบริษัทสวัสดิการดีโบนัสดี อยู่ได้ยาวๆ ก็มานั่งคิดขอตัดสินใจทิ้งเงินเดือน แล้วให้เวลาสองปี พิสูจน์ตัวเองในอาชีพครูสอนโยคะ ถ้าไม่เวิร์กยังกลับตัวทันเพราะตอนนั้นอายุยังน้อย” คุณนัท เล่า 

หลังตัดสินใจแน่วแน่ คุณนัท ในวัย 37 ปี บอกว่า ได้สอนนักเรียนอยู่หลายคน ควบคู่ไปกับการลงคอร์สเรียนโยคะในแขนงอื่นๆ เพิ่มเติม จากที่ให้เวลาตัวเองสองปีกับอาชีพครูสอนโยคะ ถึงปัจจุบันเผลอแป๊บเดียวสอนมานาน 6 ปีแล้ว กระทั่งมาเจอโควิด

“โควิดรอบแรกยิมปิด มารอบสองปิดอีกแล้ว รอบสามปรับมาสอนออนไลน์วันละคลาสได้ 500 บาท มันอยู่ไม่ได้ ประกอบกับดื่มกาแฟมา 3 ปีแล้ว ศึกษามาเรื่อยๆ ไปนั่งคุยกับเจ้าของร้านบ้าง กับบาริส ต้าบ้าง พอมีช่วงว่างก็ไปลองฝึกงานที่ไหนประกาศก็ไปสมัคร เงินไม่เยอะแต่ได้ประสบการณ์”

คุณนัทเริ่มหาที่ทางเปิดร้านกาแฟของตัวเอง ยอมควักเงินเก็บหลักแสนเพื่อเปิดร้าน ซื้อเครื่องทำกาแฟ เคาน์เตอร์ เก้าอี้ เครื่อง POS นอกนั้นนำของที่มีมาปรับใช้เพื่อลงทุนให้น้อยที่สุด ในระหว่างนั้นก็ไปฝึกชงกาแฟ ทั้งลาเต้อาร์ต เอสเปรสโซ่ ฯลฯ ให้คล่องมือ 

“หลายคนถามทำไมถึงเปิดร้านช่วงวิกฤต เราคิดว่าต้องหาอะไรทำเพิ่ม มัวมานั่งรอโชคชะตาคงไม่ไหว เงินเก็บยังพอมีศักยภาพเราก็มี ก่อนเปิดร้านต้องหาข้อมูลจากคนมีประสบการณ์เพื่อบอกเราว่าต้องเริ่มจากอะไร ถ้ามันไม่สำเร็จให้เผื่อใจไว้ ถ้าต้องปิดจริงในหัวคือเอาเครื่องชงกาแฟกลับบ้าน”

ก่อนเล่าต่อว่า ได้เปิดร้านกาแฟตามใจหวังเมื่อกลางเดือนมิถุนายน โดยเช่าสตูดิโอ FRINGE STU. CO., LTD. ของคุณปราณี วัฒนสุทธิสาสน์ และ คุณจิรัฐ กจิตพงศ์กุล เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งทำธุรกิจจัดงานอีเว้นต์ จัดงานแต่ง เปิดหน้าร้าน  

“เราคือกลุ่มคนประสบภัยที่มาเจอกัน เพื่อนเป็นคนออกแบบตกแต่งร้านให้ เราเป็นคนทำกาแฟ ขายในร้าน VaRie_at_FringeSpace เป็นตึกสี่ชั้น ชั้นหนึ่งเป็นร้านกาแฟ ชั้นสอง ชั้นสาม และชั้นสี่ เป็นสตูดิโอถ่ายรูป และทำกิจกรรมเวิร์กช็อป ตั้งอยู่ในซอยรามคำแหง 24 แยก 34”

แม้จะเป็นมือใหม่หัดขายกาแฟ แต่เรื่องวัตถุดิบไม่น้อยหน้ากว่าใคร คุณนัทเลือกใช้เมล็ดกาแฟจากหลายที่ อย่างเมล็ดเข้มไม่เปรี้ยว ใช้เมล็ดกาแฟไทย ลาว บราซิล เบลนด์กัน อีกส่วนคือ เมล็ดเปรี้ยวหน่อย ช่วงนี้ใช้เมล็ดแม่แดดน้อย จากอำเภอกัลยาณิวัฒนา ซึ่งมีรสชาติดีมาก นำมารังสรรค์เมนูเด็ด เช่น ยูสุอเมริกาโน่ ใส่โซดา ทานแล้วสดชื่น 

เหมือนจะไปได้ดีสำหรับธุรกิจนี้ แต่ต้องมาสะดุด เพราะคำสั่งห้ามนั่งทานที่ร้าน คุณนัท บอกว่า เหมือนโดนตบหัว แต่พอเริ่มมีสติก็กลับมาวางแผนกับทีม โดยตกลงกันว่าจะขายดีลิเวอรี่ จัดแพ็กขนมขายคู่กาแฟ ลดราคาลงให้ลูกค้าเอื้อมถึง ส่วนหน้าร้านจัดโปรสำหรับลูกค้าที่มาซื้อถึงที่ ราคา 65 บาท ลดลงกว่า 20% ซึ่งโปรโมชั่นนี้สามารถดึงลูกค้าหน้าใหม่เข้ามาได้พอควร

และหลังจากนี้หากกลับมาเปิดร้านอีกครั้ง คุณนัท ระบุว่า ได้เตรียมแผนการเปิดร้านไว้แล้ว เช่น ปรับเปลี่ยนมุมถ่ายรูป จัดเตรียมเมนูอาหารเพิ่มเติมสำหรับคนที่ชอบทานอาหาร 

“หากยิมเปิดกลับมาสอนโยคะได้ก็จะกลับไปสอน ส่วนร้านกาแฟก็ไม่ทิ้ง เพียงแต่ว่าอาจจะต้องปิดร้านเร็วหน่อย เพราะต้องไปสอนตอนเย็น เราไม่อยากทิ้งอะไรสักอย่าง เพราะชอบทั้งสองอย่าง ถึงจะเหนื่อยแต่นอนพักก็หาย ยุคนี้อาชีพเดียวมันไม่พอแล้วจริงๆ” คุณนัท ทิ้งท้าย 

หากสนใจอุดหนุนสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ เฟซบุ๊ก VaRie_at_FringeSpace