ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้ากรณี นางนุ้ย พรมราช อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52 หมู่ 6 บ้านนาทาม ต.พระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ถูกกรมสรรพากรฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง เพื่อเรียกเก็บภาษี เป็นเงินกว่า 11 ล้าน 8 แสนบาท เนื่องจากมีบุคคลนำเอกสารไปทำนิติกรรมแทน ในการจัดตั้งบริษัท ในนาม บริษัท รุ่งรุจี ซัพพลาย จำกัด แต่มีการเลี่ยงภาษี และมีชื่อเป็นกรรมการใหญ่ผู้มีอำนาจ จนถูกฟ้องร้องเรียกเก็บภาษี และมีหมายศาลภาษีอากรกลาง ส่งมาถึงบ้าน ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 และครบกำหนดยื่นคำให้การ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561
ก่อนการมีการสืบพยานไกล่เกลี่ย โดย นายประเวศน์ กันสุข ผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมจังหวัดนครพนม ได้มีการแต่งตั้งทนายความ เพื่อให้การช่วยเหลือ ภายใต้การดูแลของกองทุนยุติธรรมจังหวัด หลังผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ ซึ่งมีการสรุปคำให้การ ส่งไปยังศาลภาษีอากรกลาง เป็นการชี้แจงข้อเท็จจริง เนื่องจาก ผู้เสียหาย ถูกหลอกนำเอกสารไปทำนิติมกรรมแทน ทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้เห็นมาก่อน และมีฐานะยากจน เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล
ล่าสุดทางด้าน นางนุ้ย พรมราช อายุ 57 ปี ออกมาเปิดเผยว่า มาถึงวันนี้หลังร้องทุกข์ผ่านสื่อ และมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้อง เข้ามาดูแล ช่วยเหลือ ตนดีใจ รู้สึกมีความหวัง และขอขอบพระคุณทุกส่วนเกี่ยวข้อง เพราะหากไม่มีใครช่วยเหลือตนไม่รู้จะพึ่งใคร จนเคยคิดสั้น มาถึงวันนี้ดีใจ แต่ยังไม่สบายใจ วอนขอเมตตาจากกรมสรรพากร ให้ความเป็นธรรม เพราะตนเชื่อว่าถูกหลอกนำเอกสารไปตั้งบริษัท ทั้งที่ตนฐานะยากจน ชีวิตรันทดต่อสู้กับสามี อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2523 แต่ 4 -5 ปี ที่ผ่านมา ตนต้องแบกภาระ เพราะลูก 2 คน ต่างดิ้นรนไปทำงาน เพราะยากจน แต่ทิ้งหลานชายวัย 10 ขวบ ให้ดูแลตั้งแต่เกิด ภาระค่าใช้จ่ายตกที่ตน ทำงานรับจ้างรายวัน หาส่องกบส่องเขียดมาขาย มาทำอาหาร เลี้ยงครอบครัว เพราะสามีป่วย โรคเก้า โรคหอบหืด ทำงานหนักไม่ไหว แต่อดทนสู้มาตลอด แถมภาระหนี้สิน ธกส. กว่า 2 แสนบาท กู้มาทำบ้านให้ลูกสาว แต่เขาไม่มีเงินจ่าย ต้องดิ้นรนจ่ายแค่ดอกเบี้ยเป็นรายปี สุดท้ายยังมาเจอปัญหาถูกฟ้องร้องอีก ตราบใดยังไม่ได้เอกสารยืนยันว่า เรื่องคดียุติตนยังไม่สบายใจ
นอกจากนี้สิ่งสำคัญตนยืนยันว่า มีบุคคลที่มีเอาเอกสารของตนไปจริงเมื่อปี 2556 และเป็นคนในหมู่บ้านที่ตนรู้จัก คือ นางสาวนงลักษ์ แก้วสว่าง อายุ 28 ปี ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านละแวกเดียวกัน นำเอกสาร ของผู้เสียหายไป รวมถึง ของเพื่อนบ้าน อีก 5 ราย ถึงแม้จะออกมาให้การปฏิเสธ แต่ตนยืนยันเป็นความจริง และในปี 2557 หลังเคยมีเอกสารกรมสรรพากร มาทวง ตนเคยไปต่อว่า และสอบถาม ได้รับคำตอบว่า เอาไปให้ญาติที่กรุงเทพ ส่วนรายละเอียดไม่ทราบ และยังต่อว่าตนด้วยว่าไม่ต้องสนใจอยู่เฉยๆ เดียวจบเอง และไปร้องทุกข์ และเคยไปแจ้งความบันทึกหลักฐานไว้ที่ สภ.หลักศิลา มีหลักฐานยืนยันให้ เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบแล้ว จนกระทั่งเงียบไป เพราะไม่มีความรู้ ไม่มีเวลามาวิ่งเต้น สุดท้ายเจอหมายศาล จึงทนไม่ได้ออกมาร้องทุกข์ อย่างไรก็ตามตนอยากให้ทางเจ้าหน้าที่เร่งหาทางเอาผิดบุคคลที่นำเอกสารตนไปด้วย เพราะทำให้เดอืดร้อน ไม่ให้เป็นเยี่ยงออย่าง และป้องกันไม่ให้ไปทำกับคนอื่นอีก