รับทรัพย์เดือนเป็นล้าน! สาววัย 39 ทำอาชีพเสริม สร้างรายได้แบบปังๆ ด้วย 7 วิธีนี้

รับทรัพย์เดือนเป็นล้าน! สาววัย 39 ทำอาชีพเสริม สร้างรายได้แบบปังๆ ด้วย 7 วิธีนี้ 

Jannese Torres สาววัย 39 ปี ที่มีอาชีพหลักเป็นวิศวกร ได้เงินเดือนถึง 80,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี แต่เมื่อโดนเลิกจ้าง เธอได้ตัดสินใจที่จะทุ่มเทเวลามากขึ้นให้กับอาชีพเสริม ซึ่งก็คือบล็อกอาหารที่ชื่อว่า Delish D’Lites ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมของชาวเปอร์โตริกัน

Jannese Torres
Jannese Torres

วันเวลาผันผ่าน เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคลมากขึ้น จากอาชีพเสริมอย่างเดียวก็ค่อยๆ ขยายกลายเป็นหลายอย่าง เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เธอได้เปิดตัวพอดแคสต์เกี่ยวกับการเงินที่ชื่อว่า Yo Quiero Dinero เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองและช่วยเหลือคนอื่นๆ ในการสร้างฐานะทางการเงิน

ปัจจุบันนี้ เธอมีช่องทางของรายได้ถึง 7 ช่องทาง อาทิ การตลาดแบบ Affiliate โฆษณาในบล็อกและพอดแคสต์ การบรรยาย หลักสูตรดิจิทัล และความร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ รวมกันแล้วสร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละ 37,394 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบๆ 1.4 ล้านบาท โดย 9,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 341,974 บาท เป็นรายได้แบบพาสซีฟ

ในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนต้องใช้เวลา ในตอนแรกเธอไม่ได้ลาออกจากงานประจำเลยซะทีเดียว ดังนั้น อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปในการสร้างธุรกิจ จะหารายได้ 6 หลักภายใน 2 สัปดาห์ มันไม่ใช่เรื่องจริง แม้ว่าโซเชียลมีเดียจะบอกคุณแบบนั้นก็ตาม

“ตั้งแผนการขยายและยกระดับธุรกิจของคุณโดยการระบุสิ่งที่คุณต้องปรับปรุงเพื่อยกระดับธุรกิจไปอีกขั้น”

สิ่งนี้คือคำที่เธอมักจะบอกกับคนอื่นๆ อยู่เสมอ ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาบริหารอาชีพเสริมแบบเต็มเวลา

“หางานเสริม” 

Jannese Torres บอกว่า งานเสริมเป็นอันดับ 1 ของเธอ ณ ปัจจุบันนี้ แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น สิ่งที่สำคัญคือ ต้องรู้ตัวเลขของคุณ

เธอเล่าให้ฟังว่า ก่อนนี้เคยใช้สเปรดชีตพื้นฐานเพื่อปรับรายได้และรายจ่าย และโดยปกติจะทำเฉพาะช่วงสิ้นปีเท่านั้น ดังนั้น จึงทำให้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตลอดทั้งปี

จนเมื่อปี 2020 เธอตัดสินใจจะเปลี่ยนอาชีพเสริมมาเป็นธุรกิจเต็มเวลา และได้ลงทุนในโปรแกรมบัญชีที่ช่วยติดตามรายได้ประจำวัน การมีข้อมูลเพียงปลายนิ้วมือนี้ ช่วยให้ติดตามความคืบหน้าของตัวเองได้ง่ายขึ้น 

การจัดการระบบบัญชีของธุรกิจเป็นกระบวนการที่ประกอบด้วยหลายขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้คุณสามารถบริหารจัดการรายรับ รายจ่าย และสุขภาพทางการเงินโดยรวมของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Jannese Torres ได้ให้คำแนะนำไว้ถึง 7 ข้อ ดังนี้

1. แยกบัญชีส่วนตัวและบัญชีธุรกิจ

เปิดบัญชีธนาคารแยกต่างหากสำหรับธุรกิจของคุณเพื่อแยกเงินออกจากบัญชีส่วนตัว การที่แยกบัญชีแบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำบัญชีที่แม่นยำและการยื่นภาษี

2. เลือกวิธีการเปิดบัญชี

คุณควรตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการบัญชีแบบเงินสด (Cash Accounting) หรือ วิธีการบัญชีแบบรอรับรู้รายได้ (Accrual Accounting)

  • วิธีการบัญชีแบบเงินสด (Cash Accounting) คือ การบันทึกรายรับ เมื่อคุณได้รับเงินจริง และ บันทึกรายจ่าย เมื่อคุณชำระเงินจริง วิธีนี้ง่ายต่อการติดตาม แต่ไม่แสดงภาพที่แท้จริงของสุขภาพทางการเงินของธุรกิจของคุณ
  • วิธีการบัญชีแบบรอรับรู้รายได้ (Accrual Accounting) คือ การบันทึกรายรับ เมื่อคุณควรจะได้รับเงิน แม้ว่าจะยังไม่ได้รับเงินจริงก็ตาม และบันทึกรายจ่าย เมื่อคุณมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระ แม้ว่าจะยังไม่ได้ชำระเงินจริงก็ตาม วิธีนี้แสดงภาพที่แท้จริงของสุขภาพทางการเงินของธุรกิจของคุณ แต่ซับซ้อนกว่าวิธีการบัญชีแบบเงินสด

3. สร้างระบบบัญชี

การสร้างระบบสำหรับบันทึกและติดตามธุรกรรมทางธุรกิจ คุณสามารถทำได้โดยใช้ซอฟต์แวร์บัญชี เช่น QuickBooks หรือโปรแกรมสเปรดชีต เช่น Microsoft Excel ตามที่คุณต้องการ ตั้งค่าประเภทสำหรับ รายรับ และ รายจ่าย เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของคุณ

ติดตาม รายรับ และ รายจ่าย บันทึกแหล่งที่มาของ รายรับ ทั้งหมด และ ติดตาม รายจ่าย อย่างเคร่งครัด จัดเก็บใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ และเอกสารทางการเงินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นระบบ ตรวจสอบและปรับปรุงงบการเงินของคุณเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้อง

4. พัฒนางบประมาณ

การสร้างงบประมาณ เพื่อระบุรายรับและรายจ่ายที่คาดการณ์ไว้ งบประมาณนี้จะช่วยให้คุณวางแผนและตัดสินใจทางการเงินอย่างชาญฉลาด ตรวจสอบงบประมาณของคุณเป็นประจำและปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจของคุณ

5. จัดการกระแสเงินสด 

การจัดการกระแสเงินสด (Cash Flow Management) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพทางการเงินของธุรกิจของคุณ ติดตามรายรับและรายจ่ายอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีเงินสดเพียงพอสำหรับการชำระค่าใช้จ่ายและดำเนินธุรกิจต่อไปได้

พิจารณาการนำกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ เช่น การจัดการลูกหนี้ การจัดการเจ้าหนี้ และการเจรจาเงื่อนไขการชำระเงินที่เอื้อประโยชน์กับซัพพลายเออร์ และพยายามสำรองเงินสดไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน

6. วางแผนภาษี

ทำความเข้าใจภาระผูกพันด้านภาษี ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดโครงสร้างภาษีที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ และให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามกฎหมายทั้งหมด กันเงินไว้เป็นประจำเพื่อครอบคลุมภาระภาษีของคุณ

และแนวทางเบื้องต้น คือการกันเงินสำรองไว้ 25% ของรายได้ธุรกิจสำหรับการเสียภาษี อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้

  • สถานะที่ตั้งทะเบียนธุรกิจ รัฐที่คุณจดทะเบียนธุรกิจอาจมีกฎหมายภาษีที่แตกต่างกัน
  • ภาษีขาย คุณจำเป็นต้องเก็บภาษีขายจากลูกค้าหรือไม่
  • ภาษีเงินได้ สถานที่ตั้งประกอบการของคุณมีภาษีเงินได้ของรัฐหรือท้องถิ่นหรือไม่

7. ติดตามผลการดำเนินงานทางการเงิน

ควรตรวจสอบรายงานทางการเงินเป็นประจำ เช่น งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด รายงานเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวม ผลการดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจ ระบุจุดที่ต้องปรับปรุง และช่วยให้คุณตัดสินใจอย่างชาญฉลาด 

ในขณะที่คุณดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้ การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและกฎหมายที่มีความรู้ เกี่ยวกับความต้องการเฉพาะทางธุรกิจของคุณ และกฎระเบียบท้องถิ่นนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งพวกเขาสามารถให้คำแนะนำสิ่งต่างๆ รวมไปถึงการจัดตั้งระบบจัดการการเงินที่มั่นคงที่จะสามารถช่วยทั้งสุขภาพจิต และธุรกิจของคุณได้

ที่มา CNBC