พาณิชย์เตรียมเสนอยุทธศาสตร์ผลไม้เข้าครม. ยกระดับประเทศเป็นมหานครแห่งผลไม้

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ระหว่างวันที่ 5-6 ก.พ.นี้ ที่ จ.ตราด และ จ.จันทบุรี กระทรวงพาณิชย์เตรียมเสนอยุทธศาสตร์ผลไม้เพื่อยกระดับให้ไทยเป็นผู้นำหรือมหานครแห่งผลไม้ ทั้งการผลิต แปรรูป เชื่อมโยงตลาดเป็นชาติแห่งการค้าผลไม้ และการสร้างไทยแลนด์แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของทั่วโลก โดยจะเน้นในผลไม้ 3 ชนิดคือ ทุเรียน ลำไย และมังคุด ซึ่งจะเป็นการยกระดับผลไม้ไทยให้มีมูลค่าที่สูงขึ้น ตลอดจนทำให้ผลไม้ราคามีเสถียรภาพ ไม่ตกต่ำ รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาดได้ด้วย โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมีทั้งนโยบาย แผนปฏิบัติการ และด้านการตลาด

“ต่อจากนี้เราจะทำให้ทั่วโลกเห็นว่าหากประเทศใดต้องการซื้อขายผลไม้ หรือหาผลไม้ที่มีคุณภาพดี ต้องมายังประเทศไทยเป็นประเทศแรก ทั้งนี้ เพื่อรองรับผลผลิตผลไม้ที่จะออกในช่วงประมาณเดือนมี.ค. โดยจะนำร่องให้ จ.จันทบุรี เป็นจังหวัดแรกเพื่อให้เป็นต้นแบบการบริการจัดการผลไม้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้หลายประเทศมีความต้องการผลผลิตทุเรียน และมังคุดเป็นจำนวนมาก ประกอบกับไทยได้นำขั้นตอนการแปรรูปผลไม้และการดูแลผลไม้ให้อยู่ได้นานขึ้น จึงไม่น่าจะมีปัญหาผลผลิตล้นตลาด ดังนั้นปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีของผลไม้ไทย ส่วนลำไย อาจจะต้องหามาตรการเสริม เนื่องจากแม้ตลาดใหญ่ คือ จีน แต่ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. เป็นช่วงหน้าร้อนของจีนจะลดการบริโภคลำไยลง ทำให้ปริมาณลำไยของไทยมีมาก ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ไปหารือกับประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าลำไยจากไทยรองจากจีนให้เพิ่มสัดส่วนการนำเข้าลำไยจากไทยเพิ่มมากขึ้น

ขณะเดียวกันอยู่ระหว่าง ทำมาตรการดูแลเสถียรภาพราคาข้าว รวมถึงการรักษาความเป็นผู้นำการส่งออกข้าว ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนก.พ.นี้ เนื่องจากสินค้าเกษตรของไทยหลายรายการ ราคาเป็นขาขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ ที่ราคาปรับขึ้นไปอยู่ที่ ตันละกว่า 17,000 บาทต่อตัน

ส่วนปาล์มน้ำมันในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะมีปัญหาเรื่องสต๊อกมีจำนวนมากเกิน แต่จากการเร่งแก้ไขปัญหา ทั้งการเพิ่มปริมาณการส่งออก และนำไปใช้ในการผลิตพลังงาน ทำให้ขณะนี้สต๊อกลดลงมาเหลือกว่า 4 แสนตัน และคาดว่าอีก 1-2 เดือนจะลดลงมาอยู่ในระดับปกติที่ 3 แสนตัน และขณะนี้ราคาผลปาล์มสดได้เพิ่มขึ้นจาก 3.20 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 3.70 บาทต่อกิโลกรัม และคาดว่าภายในเดือนก.พ. จะมีราคาสูงขึ้นมาถึง 4 บาทได้