ผู้เขียน | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2560 บริษัทจะปรับราคาค่าโดยสารที่เรียกเก็บสำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนของเส้นทางสัมปทานระยะทาง 23.5 กิโลเมตร สายสุขุมวิท สถานีหมอชิต-สถานีอ่อนนุช และสายสีลม สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-สถานีสะพานตากสิน ไม่รวมส่วนต่อขยายของกรุงเทพมหานคร จากราคา 15 บาท-42 บาท เป็น 16 บาท-44 บาท โดยจะเรียกเก็บสถานีแรก 16 บาท สองสถานี ราคา 23 บาท สามสถานี ราคา 26 บาท สี่สถานี ราคา 30 บาท ห้าสถานี ราคา 33 บาท หกสถานี ราคา 37 บาท เจ็ดสถานี ราคา 40 บาท แปดสถานีเป็นต้นไป ราคา 44 บาท
ซึ่งอัตราใหม่นี้เพิ่มขึ้น 1-3 บาท เมื่อเทียบกับค่าโดยสารเดิม ทั้งนี้ การปรับราคาค่าโดยสารใหม่ยังคงอยู่ต่ำกว่าเพดานอัตราค่าโดยสารตามสัญญาสัมปทานซึ่งอยู่ในอัตรา 20.11-60.31 บาท
การปรับอัตราค่าโดยสารครั้งนี้บริษัทจะปรับราคาจำหน่ายเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทั้งสำหรับประเภทบุคคลทั่วไปและนักเรียนนักศึกษา ซึ่งเป็นบัตรโดยสารราคาพิเศษด้วย โดยปรับขึ้นเที่ยวละ 1 บาท ดังนี้คือ สำหรับบุคคลทั่วไป ประเภท 50 เที่ยว 1,300 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 26 บาท 40 เที่ยว 1,080 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 27 บาท 25 เที่ยว 725 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 29 บาท และ 15 เที่ยว 465 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 31 บาท
สำหรับนักเรียนนักศึกษา ประเภท 50 เที่ยว 950 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 19 บาท 40 เที่ยว 800 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 20 บาท 25 เที่ยว 550 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 22 บาท และ 15 เที่ยว 360 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 24 บาท
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กล่าวว่า บริษัทมีการปรับราคาค่าโดยสารครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2556 ผ่านมากว่า 4 ปีแล้วที่บริษัทยังไม่ได้ปรับราคาค่าโดยสารพื้นฐานที่เรียกเก็บซึ่งสัญญาสัมปทานกำหนดให้บริษัทสามารถปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บได้ทุก 18 เดือนแต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสาร ในขณะที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน สูงเพิ่มขึ้นตลอด 4 ปีที่ผ่านมาซึ่งบางรายการสูงขึ้นถึงร้อยละ 20 เช่น ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เป็นต้น
นอกจากนั้น บริษัทยังลงทุนเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริการให้ดียิ่งขึ้น อาทิ การสั่งซื้อรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 46 ขบวนๆ ละ 4 ตู้ รวมเป็น 184 ตู้ ซึ่งจะเริ่มทยอยนำเข้ามาในประเทศไทยประมาณต้นปีหน้า การปรับปรุงระบบตั๋วโดยสารซึ่งจะเปลี่ยนตู้จำหน่ายบัตรโดยสารเป็นระบบสัมผัส (Touch Screen) ทั้งหมด และสั่งตู้จำหน่ายตั๋วโดยสารที่รับธนบัตรด้วยมาติดตั้งในระบบเพิ่มขึ้นอีก 50 ตู้โดยจะเริ่มทยอยติดตั้งในปี 2561 ซึ่งปัจจุบันมีอยู่แล้วประมาณ 50 ตู้กระจายอยู่ในระบบ
โดยระหว่างนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารที่ต้องแลกเหรียญเพื่อซื้อบัตรโดยสารจากตู้จำหน่ายตั๋ว บริษัทจะจัดเจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วโดยสารประเภทเที่ยวเดียวในสถานีที่มีจำนวนผู้โดยสารมากในช่วงเวลาเร่งด่วน เช่น ที่สถานีหมอชิต สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สถานีสยาม โดยจะใช้ห้องแลกเหรียญให้มีการจำหน่ายบัตรเที่ยวเดียวด้วย และจะมีการตั้งโต๊ะจำหน่ายตั๋วโดยสารเที่ยวเดียวทุกราคาที่สถานีพญาไท สถานีสยาม สถานีอโศก เป็นต้น โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2560 เป็นต้นไป
นอกจากนั้น บริษัทยังจะมีการจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์อิเล็กทรอนิกส์บนชั้นชานชาลาเพื่อแจ้งความถี่ในการให้บริการรวมถึงแจ้งเหตุรถไฟฟ้าขัดข้องและข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ และมีแผนที่จะลงทุนติดตั้งประตูกั้นชานชาลาอัตโนมัติในสถานีต่างๆ เพิ่มมากขึ้น บริษัทจึงมีความจำเป็นในการขอปรับราคาค่าโดยสารที่เรียกเก็บในครั้งนี้ ซึ่งการปรับค่าโดยสารครั้งนี้จะมีการปรับโดยเฉลี่ยเพียงประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น
ทั้งนี้ อัตราค่าโดยสารใหม่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2560 เป็นต้นไป แต่บริษัทจะยังคงราคาเดิมเป็นเวลา 6 เดือน จนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2561 สำหรับผู้ใช้บัตรแรบบิทประเภทเติมเงิน ดังนั้นบริษัทจึงอยากเชิญชวนผู้โดยสารที่เคยซื้อบัตรโดยสารเที่ยวเดียวเปลี่ยนมาใช้บัตรเติมเงินเพื่อความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ส่วนผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ยังจะได้รับส่วนลดครึ่งราคาจากอัตราราคาใหม่เมื่อใช้บัตรแรบบิทสำหรับผู้สูงอายุโดยสามารถเดินทางได้ไม่จำกัดเวลา
อนึ่ง อัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บนั้น เมื่อเปิดให้บริการในวันที่ 5 ธ.ค. 2542 บริษัทจัดเก็บในอัตรา 10-40 บาท และได้มีการปรับครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2549 เป็น 15-40 บาท ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2556 เป็น 15-42 บาท และครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่รถไฟฟ้าบีทีเอสเปิดให้บริการใน ปี 2542 หรือเมื่อเทียบกับที่รถไฟฟ้าให้บริการจะครบ 18 ปีในเดือนธ.ค. 2560 นี้จะเห็นได้ว่าบริษัทมีการปรับราคาน้อยครั้งมาก