ผู้เขียน | ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ราคาข้าวเปลือกพุ่งกระฉูดเฉียด 10,000 บาทต่อตัน ออร์เดอร์ส่งออกทะลักทั้ง ข้าวอิหร่าน-บังกลาเทศ ฉุดราคาขึ้นยกแผง ตลาดรอข่าวดีข้าว G to G อินโดนีเซีย-ฟิลิปปินส์ช่วงครึ่งหลังปีนี้ ผู้ส่งออกวิ่งหาโรงสีซื้อข้าวส่งมอบ พาณิชย์ปลื้มราคาขึ้นกว่าเป้าตันละ 2,000 บาท
สถานการณ์ส่งออกข้าวไทยช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม 2560) มีปริมาณ 4,385,081 ตัน ขยับขึ้นไป 2.4% มูลค่า 65,064.83 ล้านบาท ลดลงเพียง 0.5% โดยในเดือนพฤษภาคม มีการส่งออกไปอิหร่านมูลค่า 828.6 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 2,257% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งให้ราคาส่งออกข้าวไทย(ข้อมูล FAO) ปรับตัวขึ้นยกแผง สูงสุดในรอบ 9 เดือนนับจากสิงหาคมปี 2559 โดยเฉพาะข้าวขาว 5% ตันละ 415 เหรียญสหรัฐจากเดือนก่อนที่ตันละ 380 เหรียญ ขณะที่ราคาข้าวนึ่งไทยตันละ 431 เหรียญจากเดือนก่อนที่ตันละ 393 เหรียญ
ราคาข้าวขึ้นยกแผง
นายสมบัติ เฉลิมวุฒินันท์ ประธาน บริษัทเอเซีย โกลเด้นไรซ์ กล่าวกับ ประชาชาติธุรกิจ ว่า ราคาส่งออกข้าวนึ่งและข้าวขาวขณะนี้ได้ปรับขึ้นหมด โดยข้าวนึ่งจากตันละ 450 เหรียญปรับขึ้นเป็นตันละ 460 เหรียญ ส่วนราคาข้าวขาวปรับขึ้นจาก 440 เหรียญเป็นตันละ450 เหรียญแล้ว ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้นเป็น 9,000 บาทต่อตัน
“ราคาข้าวปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นผลจากตลาดอิหร่าน ซึ่งเป็นตลาดข้าวสำคัญในอดีตของไทยที่หายไปร่วม 10 ปีตอนนี้กลับมาซื้อข้าวไทยโดยตรงปริมาณ 200,000 ตัน ซึ่งส่วนนี้บริษัทได้ขายตรงให้ภาคเอกชนอิหร่านและมีการขายผ่านเทรดเดอร์ที่ประมูลขายให้กับหน่วยงานรัฐบาลด้วยและอีก2ปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวขึ้นมาก คือผลผลิตข้าวเปลือกขาดตอนในช่วง เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ก่อนที่ข้าวนาปรังชุดใหม่จะออกในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม และยังมีผลจิตวิทยาจากสต๊อกข้าวจากโครงการรับจำนำในอดีตหมดไปอีกด้วย” นายสมบัติกล่าว
นายศุภชัย วรอภิญญาภรณ์ ประธานกรรมการ บริษัทธนสรรไรซ์ มองว่า การส่งออกไทยข้าวไทยปีนี้ไม่น่าต่ำกว่า 9.5 ล้านตันจากออร์เดอร์อิหร่านและความต้องการข้าวนึ่งและข้าวข้าวที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้รับออร์เดอร์ข้าวหอมมะลิจากอิหร่านที่เข้ามาก่อนหน้านี้ไปแล้วประมาณ 40,000 ตัน
นายโกสินทร์ จงพัฒนสมบัติ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทแสงฟ้า กล่าวว่า ตลาดส่งออกข้าวกลับมาแล้ว โดยเฉพาะตลาดเก่าอย่างอิหร่านที่เคยเป็นคู่ค้าสำคัญได้กลับมาซื้อข้าวเป็น ข้าวหอมมะลิข้าวขาว 100% ทำให้มีออร์เดอร์กลับมาถึง 300,000 – 400,000 ตัน รวมถึงบังกลาเทศ ซึ่งมีออร์เดอร์ลอตแรกไปแล้ว 50,000-60,000 ตัน ส่งผลดีต่อจิตวิทยาทางการตลาด
“นอกจากนี้ยังมี ฟิลิปปินส์ จะซื้ออีก 200,000-300,000 ตัน และอิรักจะมีการเปิดประมูลข้าวอีก 90,000 ตันส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายนราคาส่งออกข้าวไทยขยับขึ้นไป 70-80 เหรียญต่อตันแล้ว” นายโกสินทร์กล่าว
นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ขณะนี้คำสั่งซื้อข้าวนึ่งในตลาดไนจีเรียดีขึ้น จากปัญหาค่าเงิน ไนร่า ที่เคยอ่อนค่าลงเกือบ 500 ไนร่าต่อเหรียญสหรัฐปรับขึ้นเป็น 380-390 ไนร่าและคำสั่งซื้อข้าวผ่านทาง เบนิน-อิหร่าน-อิรัก กลับเข้ามาส่งผลให้ราคาข้าวนึ่งปรับขึ้นไปเป็น 450 เหรียญต่อตัน
“ตอนนี้ถือเป็นโชคดีของผู้ส่งออกที่มีสต๊อกข้าวอยู่ เพราะตลาดดีมาก เมื่อผู้ส่งออกไปรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า ก็จำเป็นต้องวิ่งหาข้าวส่งจึงทำให้เกิดปัญหา Shot Covering ในช่วงนี้ “นายวิชัยกล่าว
ข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุถึงผู้ส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ช่วง 5 เดือนแรก 1)บริษัทเอเซีย โกลเด้นไรซ์ 660,175 ตัน 2)บริษัทนครหลวงค้าข้าว 624,194 ตัน 3)บริษัทธนสรรไรซ์ 395,890 ตัน 4)บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด 257,296 ตัน และ 5)บริษัทแสงฟ้า อะกริโปรดักซ์ 247,124 ตัน
โรงสีขายกระฉูดรับราคานิวไฮ
ขณะที่ นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกเจ้า 5% (ความชื้น15%) ปรับเพิ่มขึ้นจากตันละ 7,300-7,800 บาทในเดือนเมษายน มาเป็นตันละ 8,600-9,200 บาทหรือเพิ่มขึ้น 1,300-1,400 บาท ซึ่งถือเป็นระดับราคา ”นิวไฮ” สูงสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้ส่งออกข้าวเร่งสั่งซื้อข้าวจากโรงสีเพื่อส่งมอบให้กับผู้ซื้อ ”ทำให้ราคาข้าวสารปรับขึ้นทั้งหมด”
โดยราคาข้าวขาว 5% ปรับจากที่เคยต่ำสุดตันละ 11,600 บาทขึ้นมาเป็น 14,500 บาท , ข้าวนึ่งจากที่เคยต่ำสุด 11,500-11,600 บาทเป็น 15,000 บาทส่งผลให้โรงสีข้าวปรับขึ้นราคารับซื้อข้าวเปลือก จากชาวนาด้วย อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูว่า สถานการณ์ราคาข้าวจะมีเสถียรภาพเพียงใด เพราะเมื่อราคาข้าวปรับขึ้นไปสูงมาก ตลาดอาจตกใจและชะงักการซื้อได้
ตปท.ทยอยเข้ามาซื้อข้าว
น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้รายงานต่อที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ว่าราคาข้าวเปลือกเจ้า 5% ปรับขึ้นสูงถึง 9,000 บาทต่อตัน จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 7,000-8,000 บาทต่อตัน ถือว่า ดีกว่าที่ คาดการณ์ไว้ว่า ราคาข้าวเปลือกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 8,000 บาทต่อตัน โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาข้าวปรับขึ้นสูงขณะนี้ก็คือ สต๊อกข้าวจากโครงการรับจำนำที่เป็นแรงกดทับมาหลายปีเริ่มจะหมดแล้วเชื่อว่าจะระบายข้าวหมดภายในปีนี้
ขณะที่สถานการณ์ความต้องการบริโภคข้าวก็เพิ่มขึ้นด้วยโดยเฉพาะตลาดนำเข้าสำคัญของไทยที่หายไปเช่นตลาดฮ่องกง, สิงคโปร์ และ อิหร่าน ตอนนี้เริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย โดยที่ผ่านมา รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อิหร่าน ได้พบกับ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการพาณิชย์ ฝ่ายอิหร่านแจ้งว่า ต้องการซื้อข้าวในรูปแบบเอกชน-เอกชน ส่วนตลาดแอฟริกาก็มีความต้องการซื้อข้าวมากขึ้น
“นอกจากนี้ยังมีสัญญาณความต้องการซื้อข้าวแบบ GtoG ตลาดอื่นๆอย่าง อินโดนีเซียต้องการซื้อข้าวประมาณ 50,000 ตัน ทางฟิลิปปินส์ต้องการอีก 250,000 ตัน และยังมีศรีลังกาและบังคลาเทศอีกเท่าที่ประเมินน่าจะได้อีก 50,000-100,000 ตัน โดยรวมเป้าหมายการส่งออกข้าวปีนี้จะปรับขึ้นเป็น 10.5 ล้านตันจากเดิมที่กำหนดไว้ว่าจะส่งออกได้ 10 ล้านตัน ซึ่งคงใกล้เคียงกับอินเดียที่คาดว่า จะส่งออกข้าวได้ 10 ล้านตัน ส่วนเวียดนามน่าจะส่งออกได้ 5-6 ล้านตันเพราะ สต๊อกข้าวลดลงถึงปลายปี” น.ส.วิบูลย์ลักษณ์กล่าว
แม้ว่าข้าวจะราคาดีแต่รัฐบาลยังไม่ได้ประมาท ต้องดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเดินหน้า แผนข้าวครบวงจรและยังคงใช้มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวนาปี 2560/2561 ทั้งโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการโรงสีข้าว 3% เพื่อซื้อสต็อก กับ มาตรการชะลอการขายข้าวเปลือก โดยส่งเสริมให้ชาวนาเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
ล่าสุดมีรายงานว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวเห็นชอบระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลที่เปิดประมูลเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนหรือเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ปริมาณเกือบ2ล้านตันจากที่มีผู้เสนอราคาสูงสุด 2.12 ล้านตันเตรียมเสนอให้ นบข.พิจารณาอนุมัติขายต่อไป
โครงการประกันภัยข้าวนาปี′60
ด้าน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ โครงการประกันภัยนาปี 2560 วงเงิน 1,841 ล้านบาท พื้นที่เป้าหมายขั้นต่ำ 25 ล้านไร่ สูงสุด 30 ล้านไร่ วงเงินคุ้มครอง1,260 บาทต่อไร่สำหรับภัยธรรมชาติ 6 ภัยและภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดได้วงเงินคุ้มครอง 630 บาทต่อไร่ อัตราเบี้ยประกันภัย 97.37 บาทต่อไร่
”รัฐบาลจะอุดหนุนเบี้ย 61.37 บาทต่อไร่ ส่วนเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อของ ธ.ก.ส. จะได้รับการอุดหนุนเบี้ยอีก 36 บาทต่อไร่ รวมแล้วเกษตรกรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส.ไม่ต้องจ่ายแม้แต่บาทเดียว ระยะเวลาการขายประกันเริ่มฤดูกาลเพาะปลูก-31 สิงหาคมนี้ ยกเว้นภาคใต้ถึง15 ธันวาคม 2560″