แฟรนไชส์ หลักพัน/หมื่น เห็นแทบทุกห้าง “ลูกชิ้นทิพย์” ยอดขายไม่ธรรมดา

แฟรนไชส์ หลักพัน/หมื่น เห็นแทบทุกห้าง  “ลูกชิ้นทิพย์” ยอดขายไม่ธรรมดา  

เคยให้ข้อมูลกับ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ ไว้เมื่อหลายปีก่อน ช่วงดำเนินธุรกิจแบบทำเองขายเอง ก็มีตัวเลขยอดขายหลายร้อยล้านบาทต่อปี ไปแบบสบายๆ สำหรับ “ลูกชิ้นทิพย์” ลูกชิ้นปิ้งแบรนด์ดัง ที่มีให้เห็นแทบทุกห้างสรรพสินค้า หรือแหล่งชุมชน ทำเลสำคัญหลายพื้นที่ทั่วประเทศ แต่ล่วงมาถึง พ.ศ. นี้ มีการเดินหน้าการขายแฟรนไชส์แบบเต็มตัว คาดว่าตัวเลขยอดขายคงพุ่งไปไกลกว่าปีละพันล้านบาทแล้วแน่นอน

เรื่องของตัวเลขยอดขาย เมนูสุดแสนธรรมดา ราคาไม้ละ 5 บาท 10 บาท ข้างต้น ที่ว่าน่าทึ่งแล้ว เรื่องราวของผู้ปลุกปั้นธุรกิจนี้ ยิ่งน่าสนใจ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เธอผ่านอุปสรรคชีวิตมาไม่น้อย แต่ไม่ถอย ขอสู้ยิบตา ควรค่าแก่การเป็นกรณีศึกษาสำหรับคนทำมาค้าขาย…อย่างยิ่ง

…“มีคนตั้งฉายาให้ว่า เจ๊ยี้…คือเวลาติดต่อธุรกิจกันแล้วจะจู้จี้เรื่องคุณภาพมาก อย่างเนื้อหมูถ้าไม่ได้มาตรฐานตามที่ตกลงกัน ไม่รับเลย  คู่ค้าเลยว่าลับหลังว่าเรื่องมาก แต่การที่เรื่องมากนี้ เพราะเราอยากให้ลูกค้าได้ทานของดีๆ” คุณศราลี พรอำนวย เจ้าของกิจการ “ลูกชิ้นทิพย์” เล่าน้ำเสียงร่าเริง

ก่อนย้อนเรื่องราวของตัวเองกว่าจะมาถึงวันนี้ พื้นเพเป็นคนอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี อาชีพดั้งเดิมของคุณพ่อ-คุณแม่ คือ ทำไร่อ้อยส่งโรงงานน้ำตาลทราย แต่ตัวเธอเองไม่มีโอกาสช่วยมากนัก เพราะอายุยังน้อย พอโตขึ้นมาหน่อยถูกส่งเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ หลังจบพาณิชย์ด้านบัญชี ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ไม่ทันได้รับปริญญา ออกมามีครอบครัวเสียก่อน ตั้งแต่อายุได้ประมาณ 21 ปี

“คุณแม่เสียตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ คุณพ่อไปมีครอบครัวใหม่ พี่น้อง 6 คน จึงเหมือนแพแตก ตัวเองจากที่เป็นเด็กไม่เอาการเอางานเท่าไหร่ ดีแต่เที่ยวเล่นไปตามประสา พอเห็นน้องๆ ลำบาก เลยคิดอยากทำมาหากินเพื่อหาเงินมาจุนเจือกัน” คุณศราลี เล่าอดีต แววตาหม่น

คุณศราลี พรอำนวย (ขวา) เจ้าของเรื่องราว

เมื่ออยู่กินกับ คุณพงษ์ศักดิ์ พรอำนวย ผู้เป็นสามีแล้ว คุณศราลีจึงเริ่มต้นอาชีพค้าขายอย่างแรกคือ เปิดแผงเนื้อหมูสด ที่ตลาดดาวคะนอง ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัวคู่ชีวิตของเธออยู่แล้ว แต่ทำได้ 3 ปีเศษมีอันต้องเลิก เพราะคุณแม่ของสามีเริ่มมีอายุมากขึ้น จึงอยากให้สะใภ้มาช่วยดูแล

แต่ด้วยเป็นคนกระตือรือร้นไม่อยู่เฉย พอเลิกขายอาชีพหมูสดแล้ว คุณศราลีหันมาทำงานอีกสารพัด ทั้งรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า เปิดโต๊ะสนุกเกอร์ ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปตามตลาดนัด ซึ่งอาชีพหลังนี้ น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอและสามี พอมีทุน “ลืมตาอ้าปาก” ได้

“ชอบค้าขาย แต่ไม่มีทุนรอนมากมาย อะไรที่พอทำได้ก็ทำไปก่อน เห็นใครทำอะไรดีก็อยากทำบ้าง อย่าง ตอนขายเสื้อผ้า จะไปรับมาจากย่านประตูน้ำหรือสวนจตุจักร ก่อนใส่รถตระเวนไปกับสามีสองคน เปิดแผงขายตามตลาดต่างจังหวัด อย่าง สุพรรณฯ อ่างทอง กำไรเหลือครึ่งๆ จึงทำให้พอมีทุนคิดขยับขยายทำอย่างอื่น” คุณศราลี เล่าความหลัง

ก่อนย้อนความทรงจำให้ฟังต่อว่า หลังขายปลีกเสื้อผ้าอยู่ 3 ปี มีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง เริ่มอยากเป็นผู้ผลิตเองบ้าง จึงลงทุนทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปออกขาย แต่ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ ทำให้เสียหายไปไม่น้อย ประกอบกับช่วงเวลานั้นเกิดปัญหาภายในครอบครัว จึงต้องย้ายที่พำนักไปอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่

ช่วงอยู่ที่เชียงใหม่นี้ มีอาชีพใหม่เกิดขึ้นอีกคือ ขายเครปญี่ปุ่น ทำเลในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเครปดังว่านั้น เป็นสูตรที่ได้มาจากการอ่านหนังสือและคำแนะนำจากหลานสาว ปรากฏขายดีมาก แต่ด้วยความที่คุมลูกน้องไม่เป็น จึงโดนโกง สุดท้ายเลยตัดสินใจขายกิจการ และย้ายถิ่นฐานอีกครั้งไปอาศัยอยู่กับญาติที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

“ตอนย้ายไปอยู่หาดใหญ่ ยังทำกิจการเครปอยู่ แต่คราวนี้ขายเป็นผงแป้ง ขายบรรจุภัณฑ์ ขายเครื่อง ให้คนรับไปจำหน่ายต่อเอง ชื่อแบรนด์ว่ามิสเตอร์เครป ใช้เวลาไม่นาน สินค้าแพร่หลายไปทั่วภาคใต้ แต่เครป เป็นเหมือนสินค้าแฟชั่น มาเร็วไปเร็ว พอคนเริ่มเบื่อ ยอดขายตก เลยกลับมาหาอยู่หากินที่กรุงเทพฯ” คุณศราลี เล่าอย่างนั้น

อย่างที่เกริ่นไว้ เธอเป็นคนขยันและมีใจรักการค้าขาย เมื่อกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ไม่นาน ก็เริ่มต้นกิจการใหม่อีกครั้ง ซึ่งยังวนเวียนอยู่กับ “ของกิน” แต่คราวนี้เป็น ไอศกรีมกะทิสด ใส่เครื่องแบบโบราณ อย่าง ลูกชิด มัน ข้าวเหนียว ฯลฯ ให้ชื่อกิจการนี้ว่า “ไอศกรีมทิพย์สุคนธ์” โดยทำเลที่ยึดไว้ตั้งแต่ต้นคือ ขายในห้างสรรพสินค้า

คุณศราลี เล่าให้ฟังต่อ ไอศกรีมในแบบของเธอ ขายดีแค่ในช่วงแรก แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน ร้านสาขาในห้างแห่งหนึ่ง ยอดขายตกอย่างเห็นได้ชัด จากที่เคยขายได้วันละไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท กลับเหลือแค่พันกว่าบาท ตอนแรกคิดในใจ คงโดนโกงอีกแล้วกระมัง

กระทั่งเด็กที่ร้านบอก มีร้าน “ลูกชิ้นปิ้ง” มาเปิดขายใกล้ๆ วันหนึ่งเขาขายได้หลักหมื่นบาทเลย ไม่เชื่อเจ๊มาดูเอง

“พอไปสังเกตและประเมินจากประสบการณ์ เห็นคนปิ้ง 1 คน คนเสียบลูกชิ้น 1 คน ทำไม่หยุดมือ ขายไม้ละ 10 บาท คนซื้อยืนกิน แถมซื้อกลับบ้านอีก นั่นเองที่เป็นจุดเริ่ม ทำให้ตัดสินใจหันมาขายลูกชิ้นปิ้ง” คุณศราลี เผยประสบการณ์ครั้งนั้น

ราวปี 2548 ซึ่งเป็นการเปิดศักราชของกิจการ “ลูกชิ้นทิพย์” นั้น รูปแบบการดำเนินธุรกิจยังเป็นแบบ “รับซื้อ” ลูกชิ้นมาจากโรงงานผลิต ก่อนนำไปตั้งเตาปิ้งเอง ที่ห้างดังย่านบางบอน เป็นสาขาแรก ซึ่งผลประกอบการดีมาก จึงมีการขยายสาขาไปตามห้างต่างๆ อีกนับสิบจุด ยอดขายดีกว่าไอศกรีมหลายเท่าตัว เลยตัดสินใจคงกิจการลูกชิ้นปิ้งไว้เพียงอย่างเดียว

ขายลูกชิ้นปิ้งแบบที่รับมาจากโรงงานผลิต ได้ปีเศษ เริ่มมีคนมาขอซื้อลูกชิ้นต่อไปขายบ้าง ซึ่งจะต้องเป็นการซื้อขายกันแบบ “ขายส่ง” จำนวนมาก แต่เนื่องจากช่วงเวลานั้น เธอยังไม่มีโรงงานผลิตลูกชิ้นเป็นของตัวเอง การจะไปขายส่งให้คนอื่นอีกทอด คงไม่ได้กำรี้กำไรอะไร

เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญ ทำให้นักธุรกิจสาวและสามี ตัดสินใจช่วยกันคิดค้นสูตรการทำลูกชิ้นในแบบของตัวเอง

“สูตรทำลูกชิ้นอร่อยๆ ไม่ใช่ง่ายนะ ลองถูกลองผิดอยู่ประมาณ 2 ปี แต่ไม่ได้ทำทุกวัน เหนื่อยก็พัก พอหมดทิศหมดทางก็หยุด แต่วันไหนเกิดไอเดียก็เริ่มต้นใหม่ จนลูกน้องเห็นหน้าเมื่อไหร่ ต้องถอยหนีหมด กลัวจะเรียกให้ชิมลูกชิ้น ตัวเองเลยต้องชิมคนเดียว จนไม่รู้รส ลิ้นชาไปหมด” คุณศราลี เล่าวันวาน ก่อนหัวเราะร่วน เหมือนยังจำเหตุการณ์ได้ดี

แต่แล้ว “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” คงเป็นตรรกะใช้ได้กับเจ้าของเรื่องราวครั้งนี้ เพราะเมื่อเธอและสามี สามารถคิดค้นสูตรเพื่อใช้ในการผลิตลูกชิ้น เป็นที่พอใจแล้ว จึงตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ ซื้ออาคารพาณิชย์ 2 คูหา ในซอยเพชรเกษม 69 ย่านบางแค เปิดโรงงานผลิตลูกชิ้นหมูของตัวเอง มีคนงานเริ่มต้นราว 10 กว่าคน

ใช้เวลาไม่นาน โรงงานผลิตลูกชิ้น 2 คูหาเริ่มคับแคบ เพราะต้องผลิตทั้งส่งร้านตัวเองและขายส่งให้กับคู่ค้าอีกหลายราย ผนวกกับได้พื้นที่ขายในห้างเพิ่มเข้ามาอีก คุณศราลีจึงตัดสินใจซื้อที่ดินขนาดกว่า 3 ไร่ หลังโรงงาน ขยายอาคารผลิตออกไปอีก

แต่ธุรกิจก็ยังไม่หยุดเติบโต จึงตัดสินใจย้ายฐานการผลิตทั้งหมดมาลงบนที่ดินเกือบ 5 ไร่ ในพื้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ก่อนทำการก่อสร้างโรงงานให้ได้มาตรฐานในทุกระบบ ลงเครื่องจักรทันสมัย เพื่อรองรับการขยายตัวที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต มีคนงานในความดูแลกว่า 100 คน ใช้เงินลงไปกว่า 200 ล้าน โดยไม่ได้กู้สถาบันการเงินมาลงแม้แต่บาทเดียว

“ตอนเริ่มก่อสร้างโรงงาน มีชาวบ้านชุมชนในละแวกมาสอบถามกันหลายราย ว่าทำลูกชิ้นส่งออกเหรอ น้องๆ ก็บอกไป ไม่ได้ส่งออก ขายในบ้านเรานี่แหละ ไม้ละ 5 บาท หลายคนเลยแปลกใจ ลงทุนขนาดนี้จะคุ้มเหรอ  จึงต้องอธิบายว่าเราทำด้วยใจ ส่วนกำไรเป็นเรื่องรอง ความสุขของการทำธุรกิจคือ ผู้บริโภคได้ทานของดี ไม่แพง” คุณศราลี บอกยิ้มๆ ทิ้งท้าย

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ “ลูกชิ้นทิพย์” มีหน้าร้านกระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้าและปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ ส่วนลูกค้าที่ต้องการซื้อจำนวนมากรูปแบบการขายส่ง ก็มีให้เลือก

รวมทั้งการลงทุนแบบแฟรนไชส์ ซึ่งสามารถเลือกระดับการลงทุนได้ นับตั้งแต่ คอมโบเซต ราคา 2,690-2,990 บาท, SET A ราคา 8,790 บาท (เตาไฟฟ้า) หรือ 8,990 บาท (เตาแก๊ส พร้อมหัวปรับแรงดันแก๊ส), SET B ราคา 21,000 บาท (เตาไฟฟ้า) หรือ 18,900 บาท (เตาแก๊ส พร้อมหัวปรับแรงดันแก๊ส)

และ SET C ราคา 31,900 บาท (เตาไฟฟ้า) หรือ 27,900 บาท (เตาแก๊ส พร้อมหัวปรับแรงดันแก๊ส) โดยแต่ละขนาดการลงทุนแฟรนไชส์ จะได้รับลูกชิ้นหมู และอุปกรณ์เริ่มต้นเปิดร้านครบชุด

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-808-7575 ต่อ 111-118 Facebook/ลูกชิ้นทิพย์ และเว็บไซต์ www.lookchinthip.com