ซอฟต์พาวเวอร์ ผ้าไหมไทย สู่ ผ้าไหมโลก ชาวบ้านมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น

ซอฟต์ พาวเวอร์ ผ้าไหมไทย สู่ ผ้าไหมโลก ชาวบ้านมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น

เริ่มต้นทำงานทันที หลังประกาศความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อพรรคใหม่ “ชาติพัฒนากล้า” ของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค และ นายกรณ์ จาติกวณิช กรรมการบริหารพรรค เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยทั้งสองได้พูดคุยกันถึงการผลักดันของดีโคราช คือ ผ้าไหม ซึ่งมีอัตลักษณ์โดดเด่น สวยงามเป็นที่ยอมรับของชาวไทยและต่างประเทศ แต่การจำหน่ายยังอยู่ในวงที่จำกัด ซึ่งในแง่ทางเศรษฐกิจสามารถพัฒนาได้อีกมาก

จึงได้เชิญ นายศักดา แสงกันหา “มิสเตอร์ผ้าไหม-โคราช” เข้ามาสอบถาม เนื่องจากเป็นคนที่คลุกคลีกับผ้าไหมมาตั้งแต่เด็ก โดยมองถึงความเป็นไปได้ ที่จะผลักดันให้ผ้าไหมไทยเป็นผ้าไหมของโลก มีคุณภาพมาตรฐาน โดยนายศักดามองว่า ขณะนี้ประเทศไทย เป็นรองแค่ประเทศจีนเท่านั้น ในเรื่องของปริมาณการผลิต ซึ่งแน่นอนด้วยพื้นที่และประชากร แต่เรื่องความสวยงามผ้าไหมโคราชและผ้าไหมของภาคอีสานไม่เป็นสองรองใคร สามารถพัฒนาโคราชให้เป็นศูนย์กลางผ้าไหมของภาคอีสาน และเป็นแหล่งผ้าไหมของโลกได้

ชาติพัฒนากล้า

“ผ้าไหมไทยเป็นศิลปวัฒนธรรม เป็นหนึ่งใน ซอฟต์พาวเวอร์ ของคนไทย ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้ความสนพระทัยเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงส่งเสริมให้มีการสร้างอาชีพจากการทอผ้า ในช่วงแรกพระองค์ทรงรับซื้อไว้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวบ้าน ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ขาดทุนแต่เป็นกำไรให้กับประชาชน” พระองค์ทรงนำผ้าไหมเหล่านั้นนำไปเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

จนทุกวันนี้ในระดับสากลผ้าไหมของไทยได้เป็นที่รู้จัก และเป็นที่ยอมรับว่าผ้าไหมไทยเป็นผ้าที่มีความสวยสดงดงาม ประณีต ละเอียดมาก ปัจจุบันผ้าไหมได้สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับพี่น้องในภาคอีสาน เป็นมูลค่ามหาศาลรวมทั้งชุมชนของผมด้วย” นายศักดา กล่าว

ด้าน นายวรวุฒิ อุ่นใจ อดีตประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย หนึ่งในสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องทำให้คนไทย หันมาใช้ผ้าไหมไทยของโคราชก่อน ขณะเดียวกัน ต้องพัฒนาคุณภาพการผลิตและดีไซน์ ให้เป็นสากล เพื่อผลักดันให้โครงการผ้าไหมไทยเป็นผ้าไหมโลก โดยเริ่มที่ จ.นครราชสีมา ให้เป็นจริง และขั้นตอนต่อไปคือ สร้างตลาดในประเทศและส่งออก ซึ่งทั้ง 2 อย่างสามารถทำควบคู่กันไปได้

ผ้าไหมโคราช

เพราะในภาวะปกติ ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยมหาศาลอยู่แล้วในแต่ละปี เราต้องจัดเกรด ตั้งระดับมาตรฐานผ้าไหม หาตลาด พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ถ้าทำพวกนี้ได้ ผ้าไหมไทยก็จะเป็นผ้าไหมของโลกได้สำเร็จ และอาจต้องร่วมมือกับแบรนด์ดังระดับโลกเพื่อส่งผ้าไหมไทยสู่สากล ซึ่งทั้งหมดปลายทางคือ ชาวบ้าน เกษตรกรผู้เลี้ยงไหม จะมีรายได้เพิ่ม

สอดคล้องกับ นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ ประธานโอทอปเทรดเดอร์ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เรื่องของผ้าไหมเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับวิถีชุมชน คือ ชาวบ้าน ซึ่งพื้นฐานของคนโคราช ทอผ้าไหม สาวไหม และทำไว้ใช้เองอยู่แล้ว การที่จะเพิ่มรายได้ให้กับเขา ก็ต้องไปดูในเรื่องของกลางน้ำกับปลายน้ำ ต้องสร้างตลาดของผ้าไหมให้มากกว่าที่คนไทยใช้ ต้องทำให้ผ้าไหมสามารถที่จะเป็นผ้าสากลที่ใช้กันทั่วโลก และทั่วโลกมีความต้องการในผ้าไหมของคนไทย

ซึ่งมันจะย้อนกลับมาสู่เรื่องของการพัฒนา การออกแบบดีไซน์ การเพิ่มมูลค่าและเพิ่มคุณภาพของผ้าไหม ให้เขามีความรู้สึกว่า ผ้าไหมโคราช ผ้าไหมไทย เป็นผ้าไหมดีมีคุณภาพ เป็นแบรนด์เนม มาเมืองไทยต้องซื้อกลับไปเป็นของฝากที่มีราคาและมีคุณค่าที่สุดของเขา เราต้องไม่ขายแค่ผ้าไหมแต่ต้องขายแบรนด์ของผ้าไหม

ทอผ้าไหม

“พอผ้าไหมมีมูลค่า มีคุณค่า มันจะย้อนกลับไปที่ต้นทางทันทีคือ ชาวบ้าน ครัวเรือนต่างๆ ที่บรรดาแม่ๆ ป้ๆ ทั้งหลาย ที่สาวไหม เลี้ยงไหม และเป็นวิถีชีวิต ผูกพันกับเส้นไหม เขาจะมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น โดยที่เขายังใช้ชีวิตอยู่เหมือนเดิม ซึ่งวิธีการเหล่านี้ พรรคชาติพัฒนากล้า ต้องพัฒนา สนับสนุนและส่งเสริม โดยยกระดับโคราช ให้เป็นเมืองผ้าไหมไทย เป็นเมืองผ้าไหมโลกให้ได้”

“ซึ่งไม่ใช่ส่งผลดีแต่เฉพาะโคราชเท่านั้น แต่อีสานทั้งภาคจะได้ประโยชน์ด้วย เป็นภูมิภาคของผ้าไหม พี่น้องชาวอีสานทุกคนจะได้ประโยชน์จากโครงการ ผ้าไหมไทยสู่ผ้าไหมโลก ตลาดกลางเส้นใยไหม การเดินแบบระดับโลก การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ต้องเกิดขึ้นที่โคราช เพราะฉะนั้น พี่น้องชาวอีสาน ต้องร่วมมือกัน เรื่องเหล่านี้สำคัญ ที่เราต้องช่วยกัน ต้องให้โคราชเป็นหัวขบวนรถไฟความเร็วสูงเรื่องของผ้าไหม เพื่อเชื่อมไปสู่ถนนสายผ้าไหมในอนาคต” ประธานโอทอปเทรดเดอร์ ประเทศไทย กล่าว