“เดชา ศิริภัทร” ยัน แจกน้ำมันกัญชาเป็นเรื่องศีลธรรม พร้อมเข้าพบ ป.ป.ส. พรุ่งนี้

“เดชา ศิริภัทร” ยัน แจกน้ำมันกัญชาเป็นเรื่องศีลธรรม พร้อมเข้าพบ ป.ป.ส. พรุ่งนี้

จากกรณีข่าวการจับกุมเจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และยึดต้นกัญชา 200 ต้น พร้อมทั้งอุปกรณ์การสกัดน้ำมันกัญชา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และปปส. ล่าสุดวันนี้ (10 เม.ย.62) เฟซบุ๊ก มูลนิธิชีววิถี เผยแพร่ คำแถลงอย่างเป็นทางการของอาจารย์เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ หลังกลับจากการเดินทางไปต่างประเทศ ใจความว่า

อ่านข่าว เนวิน ค้านอย่าใช้ กม.ทำลาย ‘กัญชา’ ชี้เป็นภูมิปัญญาไทยใช้ยารักษาโรคกว่า 300 ปี

ท่าอากาศยานดอนเมื
วันที่ 10 เมษายน 2562

1. ผมขอขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่มาต้อนรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยซึ่งแม้ป่วยไข้แต่ก็ยังเดินทางมาเพื่อเป็นประจักษ์พยานว่า การเข้าถึงยาจากกัญชาเป็นเรื่องสำคัญเพียงใด ผมเสียใจที่ไม่สามารถเดินทางกลับมาก่อนหน้านี้ได้ ด้วยภารกิจที่องค์กรในประเทศลาวได้เชิญไปศึกษา เรียนรู้ แลกเปลี่ยนกับหมอสมุนไพรพื้นบ้านของลาว จึงไม่สามารถยื่นขอประกันตัว และเดินทางไปรับตัวคุณพรชัย ชูเลิศ เจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญออกจากที่คุมขังด้วยตนเอง

2. ผมยืนยันว่าการแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน โรคข้อ ลมชัก และอื่นๆนั้นเป็นเรื่องศีลธรรมที่ต้องทำ เรื่องนี้อยู่เหนือกฎระเบียบล้าหลังใดๆ เพราะสิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับยาและการรักษาเป็นสิทธิพื้นฐาน และศีลธรรมพื้นฐานของเรา

อย่างไรก็ตาม หลังจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับปรับปรุงแก้ไข มีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2562 เป็นต้นมา และเปิดโอกาสให้ “หมอพื้นบ้าน” สามารถยื่นขอนิรโทษกรรมการมีกัญชาเพื่อครอบครองทางการแพทย์ได้นั้น ก่อนการเดินทางไปประเทศลาวผมได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ยื่นเรื่องขอนิรโทษกรรม แต่กลับมาถูกจับกุมเสียก่อนทั้งๆที่ยังอยู่ในระยะเวลา 90 วัน

ผมเพิ่งทราบด้วยว่า หลังจากที่ตัวแทนของผมได้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อขอนิรโทษกรรมเมื่อวานนี้ (10 เมษายน 2562) แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยอ้างว่าการยื่นขอนิรโทษกรรมต้องมีหลักฐานว่าได้ครอบครองกัญชา ซึ่งตำรวจได้ริบไปหมดแล้ว อีกทั้งอ้างว่าไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผมเป็นหมอพื้นบ้าน ซึ่งจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งๆ ที่มีหนังสือรับรองจากมูลนิธิสุขภาพไทยที่เป็นผู้ประสานงานเครือข่ายหมอพื้นบ้านทั่วประเทศ ได้แสดงหลักฐานยืนยันก็ตาม

3. ผมขอยืนยันว่านอกเหนือจากการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆ และเป็นครูสอนการปรับปรุงพันธุ์ข้าวแล้ว ผมยังทำหน้าที่เป็นหมอพื้นบ้านในการแนะนำการใช้สมุนไพร การปลูกพืชที่มีคุณค่าทางอาหารและยา มานานกว่า 20 ปี ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ในหนังสือ เทคโนโลยีชาวบ้าน หมอชาวบ้าน เป็นต้น เป็นประจักษ์พยาน

กล่าวเฉพาะในช่วงกว่า 10 ปีมานี้ผมได้สนใจค้นคว้าทดลองยาจากกัญชามาโดยต่อเนื่อง ทั้งจากตำราต่างประเทศ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการทดลองใช้ด้วยตนเองและคนใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าสามารถโรครักษาผู้คนได้จึงเริ่มแจกจ่ายยาจากกัญชาเพื่อหวังให้ผู้ป่วยเหล่านั้นพ้นทุกข์จากความป่วยไข้

ผมยืนยันว่าหมอพื้นบ้านทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับอนุญาตให้มีการปรุงยาจากกัญชาเพื่อการรักษาผู้คน โดยในส่วนของผมเองนั้น ได้หารือในเบื้องต้นกับ ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร ในการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลอภัยภูเบศร ซึ่งจะหาโอกาสแถลงข่าวร่วมกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากนี้

4. ผมขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันพรุ่งนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2562) ผมและทีมทนายความจะเดินทางไปแสดงตัวต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ถนนดินแดง ในเวลาประมาณ 10.00 น. เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังจากนั้นจะประสานงานกับเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจในพื้นที่เพื่อกำหนดนัดหมายวันเข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

5. ในสุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณเป็นอย่างสูงต่อประชาชนเป็นจำนวนมากที่ได้บริจาคเงินผ่าน มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน(ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และมูลนิธิชีววิถี(BIOTHAI) ที่ได้ร่วมรณรงค์ #SaveDecha #SaveSong#RightToMedicne เพื่อเรียกร้องสิทธิในการเข้าถึงยากัญชาของประชาชน ซึ่งทราบว่าล่าสุดเกิน 1 ล้านบาทแล้ว สำหรับการขอประกันตัวคุณพรชัย ชูเลิศ และสำหรับการต่อสู้คดีของทั้งผมและคุณพรชัยต่อไป

ขอขอบคุณคุณอนุทิน ชาญวีรกูล และผู้ที่ได้ประกาศสนับสนุนการต่อสู้คดี เช่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ที่ประกาศใช้ตำแหน่งของตนเพื่อประกันตัวผม รวมทั้งอดีตรัฐมนตรีบางท่านที่ไม่ประสงค์จะออกนามเตรียมใช้หลักทรัพย์ เพื่อใช้ในการประกันตัว เป็นต้น

ผมขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงอีกครั้งหนึ่ง

วันพุธที่ 10 เมษายน 2562
ท่าอากาศยานดอนเมือง

อ่านฉบับจริง