
เผยแพร่ |
---|
เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) ชี้
รายงาน ESG คือสิ่งจำเป็นเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับธุรกิจยุคใหม่ในทุกไซซ์
องค์กรทุกขนาดที่แม้จะมีระดับความพร้อมไม่เท่ากัน ก็สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้
หากมีการเตรียมพร้อมด้าน Sustainability Transformation ที่ดี
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาความยั่งยืนกลายเป็นภารกิจสำคัญของทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกับปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมากในปี 2566 ที่ทำให้สามารถพยากรณ์ได้ว่าโลกกำลังเข้าสู่ “ยุคโลกเดือด” ตามที่ นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์เมื่อไม่นานมานี้
ย้อนไปเมื่อปี 2558 องค์กรสหประชาชาติประกาศเป้าหมายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน 17 ข้อ (UNSDGs) ที่ครอบคลุม 3 ด้านหลักคือ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อขับเคลื่อนโลกไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นและมีความยั่งยืนมากขึ้น เป้าหมายเหล่านี้จึงกลายมาเป็นหลักการที่ชี้นำการปฏิบัติงานของทั้งภาครัฐและเอกชน
ที่เริ่มจากเปลี่ยนการมุ่งเน้นสร้างกำไรและผลประโยชน์ด้านการค้ามาเป็นการสร้างประโยชน์ต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กันไปด้วยในวิสัยทัศน์ คำมั่นสัญญา และการลงมือทำ เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่มีความสนใจด้านความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังที่เห็นได้จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Global Sustainable Funds ที่เพิ่มสูงถึง 2.74 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งเพิ่มจากช่วงปลายปี 2565 ขึ้นมา 7.5 เปอร์เซ็นต์ และมีความเติบโตมากกว่ากองทุนอื่นๆ ทั่วโลกถึง 4 เปอร์เซ็นต์

สำหรับประเทศไทยเองก็มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่เด่นชัด โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สร้างกลยุทธ์เพื่อพัฒนาความยั่งยืนด้วยการกำหนดข้อบังคับให้บริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน (ESG) ในการดำเนินธุรกิจและบริการโดยเน้นไปที่ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การเปิดเผยข้อมูล ESG จึงกลายเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยกำกับองค์กรได้แสดงความรับผิดชอบต่อเป้าหมายด้านความยั่งยืนของตนต่อสาธารณชนเป็นประจำทุกปี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
และในขณะเดียวกัน ก็ดึงดูดโอกาสด้านธุรกิจและการลงทุน พร้อมทั้งสร้างระบบนิเวศธุรกิจที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่มีประสิทธิภาพ ทำได้จริง และวัดได้เป็นหัวใจหลัก

ในขณะที่ความยั่งยืนเป็นปัจจัยสำคัญทั้งในด้านกฎระเบียบและการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย การนำเสนอรายงานข้อมูลความยั่งยืนจึงมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการประเมินความสามารถของประเทศในการทำตามคำมั่นสัญญาด้านความยั่งยืน ผ่านการดำเนินกิจกรรมขององค์กรต่างๆ
โดยในการสร้างรายงาน ESG ที่มีประสิทธิภาพ การเก็บข้อมูล (Data Collection) เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะสะท้อนเห็นภาพรวมของการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กร เช่น การแสดงข้อมูลที่ให้เห็นถึงความพยายามในการควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนปีต่อปี หรือการแสดงรายงานที่สอดคล้องกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

อย่างไรก็ตาม ทุกองค์กรมีความพร้อมและความสามารถในการเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ไม่เท่ากัน และยังมีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญ องค์กรที่เชี่ยวชาญระดับกลาง และองค์กรที่เพิ่งเริ่มต้นเตรียมข้อมูล
องค์กรที่เชี่ยวชาญและคุ้นเคยแล้วมักมีกำลังคนและเครื่องมือพร้อมสรรพในการเก็บข้อมูลและผ่านการทำรายงาน ESG มาแล้วหลายครั้ง องค์กรที่มีความพร้อมระดับกลางอาจกำลังลองผิดลองถูกกับการเตรียมและประมวลข้อมูล และกำลังมองหาหนทางที่จะช่วยทำให้ขั้นตอนนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนองค์กรที่เพิ่งเริ่มต้นทำรายงาน ESG เป็นกลุ่มที่กำลังมองหาแนวทางและตัวช่วยในการติดตั้งระบบ การรายงานด้านความยั่งยืนนั้นอาจเป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อน โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่เพิ่งเริ่มต้น และยังไม่คุ้นเคยกับภาษาและคำจำกัดความต่างๆ รวมไปถึงหลักการ มาตรฐาน และเฟรมเวิร์กที่มีอยู่มากมายด้วย

ข้อมูลด้าน ESG มีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาความยั่งยืน และขั้นตอนการเก็บข้อมูลมักเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย “โทชิฮิเดะ โอตานิ ผู้อำนวยการด้าน Sustainability Transformation ของเอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) เน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อมูล ESG ว่า “ข้อมูล ESG มีความสำคัญอย่างมากในการจัดทำรายงานด้านความยั่งยืนที่ถูกต้องและมีความหมาย
รายงานนี้ไม่เพียงแสดงถึงความรับผิดชอบตามคำมั่นสัญญาขององค์กรโดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังช่วยให้องค์กรสามารถมองเห็นปัญหาและลงมือแก้ไขจัดการปัญหานั้นๆ ได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย
ดังคำกล่าวที่ว่า คุณไม่สามารถจัดการกับสิ่งที่คุณวัดไม่ได้ (You cannot manage what you can’t measure.)”
นอกจากนี้ แม้จะเลือกใช้วิธีการเก็บข้อมูลที่รัดกุมแล้วความผิดพลาดก็ยังอาจเกิดขึ้นได้จากการบันทึกข้อมูลด้วยกำลังคน และปรากฏการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นได้กับองค์กรในทุกระดับความพร้อม

ดังนั้น การสร้างรายงาน ESG ที่ชัดเจน ถูกต้อง และมีความหมายจึงเริ่มจากการเลือกเครื่องมือการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับระดับความพร้อมขององค์กร ข้อมูลด้าน ESG เป็นสิ่งสำคัญมากในการแสดงความรับผิดชอบและการแก้ปัญหาด้านความยั่งยืนขององค์กรได้อย่างทันท่วงที
เอบีม คอนซัลติ้ง มีประสบการณ์การให้คำปรึกษาด้านการเก็บข้อมูล ESG แก่องค์กรที่หลากหลาย จึงมองเห็นว่าอนาคตของการเก็บข้อมูล ESG คือการใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) ที่ช่วยลดการใช้แรงงานมนุษย์และลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาด
การเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมัติจะช่วยให้องค์กรสามารถประเมินความพยายามด้านความยั่งยืนของตนด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง และยังจะช่วยให้ประเทศไทยไปถึงเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์และระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ Sustainability Transformation ติดต่อ เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) ที่อีเมล [email protected]
เกี่ยวกับบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทในเครือบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง จำกัด โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีทีมงานกว่า 7,500 คน ที่ให้บริการลูกค้าทั่วภูมิภาคเอเชีย อเมริกา และยุโรป
เปิดให้บริการที่ปรึกษาในประเทศไทยเมื่อปี 2548 บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญกว่า 450 คน ที่ให้บริการลูกค้าด้วยความเชี่ยวชาญด้าน Business และ Digital Transformation เพื่อช่วยให้บริษัทและองค์กรต่างๆ บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในฐานะพันธมิตรที่สร้างสรรค์ เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ อุตสาหกรรมและสังคมให้ก้าวสู่การเปลี่ยน
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อทางอีเมลที่ [email protected] หรือเข้าชมเว็บไซต์ของเราเพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.abeam.com/th/en