เอกา โกลบอล ตอกย้ำ เบอร์หนึ่ง ผู้นำบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เตรียมเดินเครื่องผลิตโรงงานอินเดีย

เอกา โกลบอล ตอกย้ำ เบอร์หนึ่ง ผู้นำบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เตรียมเดินเครื่องผลิตโรงงานอินเดีย
เอกา โกลบอล ตอกย้ำ เบอร์หนึ่ง ผู้นำบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เตรียมเดินเครื่องผลิตโรงงานอินเดีย

เอกา โกลบอล ตอกย้ำ เบอร์หนึ่ง ผู้นำบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร เตรียมเดินเครื่องผลิตโรงงานอินเดีย

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า พฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยและทั่วโลกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ กลุ่มบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและบรรจุภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ยังคงเป็นสินค้าหลักที่ได้รับความนิยมสูงขึ้น

โดยมีข้อมูลระบุว่า ผู้บริโภคทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกามีความยินดีที่จะจ่ายเพิ่ม เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ยั่งยืนสูงขึ้นถึง 66% และ 80% เป็นกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 18-34 ปี โดยปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนให้ขยายตัวมาจากความตระหนักของผู้บริโภคเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

และกฎระเบียบทางการค้าโลก กระตุ้นให้ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืนขยายตัวแบบก้าวกระโดด ขณะที่บริษัททั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กในอุตสาหกรรมอาหารก็ได้เริ่มใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมแล้วเช่นกัน

ในส่วนภาพรวมผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เป็นไปตามทิศทางของตลาดอาหารทั่วโลกที่มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติช่วยยืดอายุอาหารเพิ่มสูงขึ้นในทุกตลาดที่เป็นฐานลูกค้าของบริษัทฯ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย และไทย เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้ามารองรับกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หลังเหตุการณ์แพร่ระบาดของโควิด ได้เป็นอย่างดี

ทั้งความต้องการอาหารปลอดภัย (Food Safety) และอาหารพร้อมรับประทาน (Ready To Eat) หรือความนิยมซื้ออาหารมาทำที่บ้าน การอยู่อาศัยและทำงานที่บ้านมากขึ้น รวมถึงเทรนด์ของผู้บริโภคที่นิยมสั่งอาหารจากร้านอาหารเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้ปัจจัยบวกจากโรงงานที่ประเทศจีน สามารถกลับมาดำเนินการได้เต็มประสิทธิภาพหลังจากรัฐบาลจีนมีนโยบายเปิดประเทศ ทำให้ขณะนี้บริษัทฯ สามารถทำการผลิตจนเต็มกำลังการผลิตทั้งหมดรวมโรงงานไทยแล้วกว่า 2,850 ชิ้นต่อปี

นอกจากนั้น ในปีนี้ บริษัทฯ ยังปรับแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์กลุ่มกรีนโปรดักต์เป็นโรดแมป เพื่อรับมือกับเมกะเทรนด์ที่ผู้บริโภคทั่วโลกเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ยั่งยืนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นกระแสตื่นตัวที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญและเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ส่งผลให้ยอดขายบรรจุภัณฑ์กลุ่มกรีนโปรดักต์ของบริษัทฯ ได้แก่ 1. บรรจุภัณฑ์ Bioplastic (PLA) ที่ผลิตจากวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพด หรือ อ้อย ฯลฯ 2. บรรจุภัณฑ์ Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมด และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ 3. บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) หรือ เรซิน รีไซเคิล มีการขยายตัวสูงขึ้นมากในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี บริษัทฯ มีความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างดี และมีความพร้อมจะก้าวนำเทรนด์ผู้บริโภคทั่วโลกอยู่เสมอ เพื่อมุ่งส่งเสริมและยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารของบริษัทฯ นับว่าสามารถตอบทุกโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย ความต้องการบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย ทั้งบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิล และบรรจุภัณฑ์ทำจากพืชที่ย่อยสลายได้ เป็นต้น

ทั้งนี้ มองแนวโน้มธุรกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ มั่นใจว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตามทิศทางความต้องการอาหารของตลาดทั่วโลก ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารแบบรีไซเคิล และผลิตภัณฑ์กรีนโปรดักต์ โดยขณะนี้ บริษัทฯ มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนเต็มกำลังการผลิตถึงสิ้นปีนี้แล้ว

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ คาดว่าโรงงานใหม่ในเมืองปูเน่ (PUNE) ประเทศอินเดีย จะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์และสามารถรับรู้ยอดขายเข้ามาเพิ่มเติม