สาวโรงงานหนี้ท่วมตัว พลิกชีวิตด้วย กะหล่ำปลี รับซื้อผลผลิตจากเกษตรชาวดอย วันละกว่า 70 ตัน

สาวโรงงานหนี้ท่วมตัว พลิกชีวิตด้วย กะหล่ำปลี รับซื้อผลผลิตจากเกษตรชาวดอย วันละกว่า 70 ตัน

สาวโรงงานหนี้ท่วมตัว พลิกชีวิตด้วย กะหล่ำปลี รับซื้อผลผลิตจากเกษตรชาวดอย วันละกว่า 70 ตัน

สาวโรงงานที่หนี้สินท่วมตัว แต่คำว่า “ลูก” ทำให้เจ้น้องไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา กัดฟันสู้เป็นลูกจ้างรายวันแผงขายผัก จนพบจุดเปลี่ยนในชีวิต ผันตัวเองมาเป็น ผู้คัดเลือก รวบรวม และจัดส่งกะหล่ำปลีจากเกษตรกรไปสู่ผู้บริโภค คว้ารายได้เฉียด 10 ล้านบาทต่อเดือน และยังเป็นที่พึ่งพิงของชาวดอยคอยรับซื้อผลผลิตทุกวัน วันละกว่า 70 ตัน

เจ้น้อง หรือ คุณพัชรมณฑ์ เถกิงสรคันธ์ อายุ 50 ปี

เจ้น้อง หรือ คุณพัชรมณฑ์ เถกิงสรคันธ์ อายุ 50 ปี เล่าให้ฟังว่า ในทุกๆ วันจะมีกองทัพรถสิบล้อขนกะหล่ำปลีสดๆ จากดอยกว่า 70 ตัน เข้ามาขายที่ตลาดสี่มุมเมือง ผลผลิตเหล่านี้เดินทางไกลมาจากแปลงปลูกของชาวดอยจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีมากกว่า 100 ไร่

“เจ้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างต้นน้ำ คือช่วยรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร และกระจายต่อสู่ปลายน้ำ ให้ผู้ซื้อที่มีตั้งแต่รายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม 5 ดาว สายการบิน เรือนจำ ไปจนถึงผู้ซื้อรายย่อย อย่าง รถเร่ กว่า 20 ปีแล้ว ช่วยเกษตรกรชาวดอยหลายครอบครัวให้ตั้งตัวได้ ส่งลูกเรียนหนังสือ และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”

แนวคิดล้ำๆ ของเจ้น้อง ไม่ได้เรียนมาจากไหน แต่เกิดจากประสบการณ์กว่า 20 ปี ที่คลุกคลีอยู่กับอาชีพนี้

“หลายธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเขาไม่คิดอย่างที่ลูกค้าคิด แต่เอาสินค้าที่ตัวเองขายเป็นตัวตั้ง ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ อยากทำ อยากนำเสนอ แต่เจ้คิดต่างต้องทำเชิงรุก ต้องเปลี่ยนบทบาทรับฟังสิ่งที่ลูกค้าต้องการ มองในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ ไม่ใช่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำอย่างเดียว ต้องยึดลูกค้าเป็นตัวตั้ง หรือเอาตลาดเป็นตัวตั้ง และปรับตามตลาด

ในฐานะที่เราเป็นแม่ค้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างเกษตรกรและผู้ซื้อ สิ่งที่ต้องทำคือ รับฟังลูกค้าแล้วหาสินค้าที่ต้องการ เช่น บอกลักษณะผลผลิตที่ลูกค้าต้องการให้เกษตรกรฟังแล้วปลูกตามที่ลูกค้าต้องการ หรือช่วยวางแผนการปลูกไม่ให้ผลผลิตมีมากจนล้นตลาด ซึ่งจะทำให้ราคาตกได้”

สาวโรงงานหนี้ท่วมตัว พลิกชีวิตด้วย กะหล่ำปลี

ทำไมถึงต้องเป็นกะหล่ำปลี

เจ้น้อง เล่าต่อว่า เหตุที่เลือกมาขายกะหล่ำปลี เพราะเมื่อก่อนเป็นลูกจ้างขายผักในตลาด แล้วเห็นผัก 2 ชนิด คือ กะหล่ำปลีกับผักกาดขาว ที่ในแต่ละวันมีเข้ามาขายเยอะมาก แล้วก็แปลกเพราะมีเท่าไหร่ก็ขายหมด จึงค่อยๆ เริ่มหาความรู้เกี่ยวกับผัก 2 ชนิดนี้ ซึ่งมีข้อดีปลูกง่าย ไม่กี่วันก็เก็บขายได้แล้ว และยังสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ปลูกได้ทุกภาค อีกทั้ง เมนูของคนไทยหลายๆ เมนูก็นิยมกินกะหล่ำปลีเป็นผักแกล้ม เรียกว่ากินง่าย กินได้ทั้งสุกและดิบ ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยอีกชนิดหนึ่ง

“กะหล่ำปลีที่ดีที่สุดต้องปลูกที่ภาคเหนือ เพราะคุณภาพดีและรูปทรงของผักจะสวย เป็นที่ต้องการของตลาด ขายได้ราคาดี เพราะการที่กะหล่ำจะห่อตัวเป็นปลีได้จำเป็นต้องได้รับอากาศหนาว ซึ่งภาคเหนือก็จะตอบโจทย์ที่สุด และกล้าการันตีเลยว่ากะหล่ำปลีต้องเจ้เท่านั้น

เกษตรกรลูกสวนบนดอยที่เชียงใหม่จะส่งกะหล่ำปลีที่ตัดกันสดๆ ลงมาที่สี่มุมเมือง หมุนเวียน 24 ชั่วโมงทุกวัน ลูกค้าจะได้กะหล่ำปลีสดใหม่ไม่ค้าง และเจ้มีกะหล่ำปลีขายทั้งแบบท้ายรถ สำหรับลูกค้าที่ต้องการผักราคาถูกที่สุด แต่ลูกค้าต้องไปตัดแต่งเอง และกะหล่ำปลีแบบตัดแต่งสวยงามพร้อมนำไปประกอบอาหารหรือนำไปจำหน่าย ซึ่งราคาสามารถต่อรองราคาได้”

*วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 ราคากะหล่ำปลีเริ่มต้นที่กิโลกรัมละ 12 บาท

สาวโรงงานหนี้ท่วมตัว พลิกชีวิตด้วย กะหล่ำปลี

รายได้และยอดขายต่อวัน

ก่อนเล่าต่อว่า

“หลายคนยังติดภาพจำว่าพ่อค้าแม่ค้าคนกลางคือ ผู้ร้าย คือคนที่กดราคาสินค้าให้ตกต่ำ เจ้อยากให้เปิดใจ เพราะเพื่อนๆ พ่อค้าแม่ค้าคนกลางที่ขายอยู่ที่สี่มุมเมืองด้วยกัน เปรียบเสมือนผู้ช่วยกระจายสินค้าจากเกษตรกรไปสู่ผู้ซื้อ เกษตรกรหลายคนไม่สะดวกออกมาขายสินค้าเอง เพราะไม่คุ้มเรื่องต้นทุนค่าขนส่ง หรือไม่รู้ว่าจะไปขายที่ไหน

อย่างเกษตรกรชาวดอยที่ปลูกกะหล่ำปลีส่งให้เจ้ เจ้ค้าขายด้วยความจริงใจ ซื่อสัตย์ กันมานานกว่า 20 ปี เน้นปริมาณเยอะๆ ไม่ได้เน้นกำไรสูง ต่างคนต่างช่วยกัน อย่างลูกสวนหรือเกษตรกรก็จะมั่นใจในตัวเราก็จะส่งผักมาให้ช่วยขาย ช่วงไหนราคากะหล่ำตก เจ้ก็ไม่เคยกดราคาคนสวนนะ ช่วยค้ำช่วยพยุงกันตลอด

นอกจากซื้อขาย เจ้ยังแนะนำความต้องการของผู้ซื้อให้เกษตรกรปลูกตามที่ตลาดต้องการ เช่น การผลิตผักปลอดภัยโดยใช้สารชีวภัณฑ์แทนสารเคมี อย่าง เชื้อแบคทีเรีย หรือ บีที ไตรโครเดอร์มา เพื่อฉีดราดผักแทนสารเคมี ซึ่งเป็นอันตรายต่อหนอน แต่ไม่อันตรายต่อคน” เจ้น้อง เล่าให้ฟัง

สาวโรงงานหนี้ท่วมตัว พลิกชีวิตด้วย กะหล่ำปลี

สำหรับยอดขายต่อวัน อยู่ที่ประมาณ 50-70 ตัน คิดเป็นรายได้แบบยังไม่หักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 9,000,000 บาท

หากใครต้องการรับกะหล่ำปลีไปขายต่อ หรือซื้อไปประกอบอาหาร เจ้น้อง แนะนำว่า ให้เลือกหัวที่น้ำหนักกลางๆ ประมาณ 1-1.3 กิโลกรัม กาบอวบ ทรงสวย ใบกรอบ ไม่เหี่ยว เลือกหัวที่มีสีเขียวใสไม่มีรอยช้ำหรือเน่าเสีย ส่วนที่จะเลือกเพื่อไปขายก็ให้เลือกจากความต้องการของลูกค้าก่อน ว่าฐานลูกค้าของแต่ละร้านชอบแบบไซซ์ไหน เล็กหรือใหญ่ เพราะกะหล่ำปลีจะขายแยกแบบเป็นไซซ์ ซึ่งราคาก็อาจจะมีแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย

สาวโรงงานหนี้ท่วมตัว พลิกชีวิตด้วย กะหล่ำปลี

สนใจสั่งสินค้า ช่องทางการติดต่อ เจ้น้อง กะหล่ำปลี

พิกัด : กะหล่ำขายท้ายรถ เสาที่ 49 และ 51 ฝั่งสะพาน ตลาดสี่มุมเมือง

เข้ารอบ : ขาย 24 ชั่วโมง

พิกัด : กะหล่ำตัดแต่ง โซนตลาดผักทั่วไป ชื่อร้าน : เศรษฐีกะหล่ำปลี ตลาดสี่มุมเมือง

เปิดบริการทุกวัน 24 ชม.

เบอร์โทร : 081-682-7970

สาวโรงงานหนี้ท่วมตัว พลิกชีวิตด้วย กะหล่ำปลี