เผยแพร่ |
---|
เปิดเส้นทาง “JOYOUS” จากสินค้าในร้านค้าปลีกท้องถิ่น สู่เซเว่นฯ สร้างยอดขายโตต่อเนื่อง ด้วย 3 เคล็ดลับ
ธุรกิจกลุ่มบิวตี้และสินค้าแฟชั่น ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการ SMEs เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันสูงและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับ บริษัท สตาร์ริช เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ผลิตสินค้า ภายใต้แบรนด์ “จอยอัส” (JOYOUS) สินค้าประเภทบิวตี้ แอกเซสซอรี (Beauty Accessories) อย่าง แหนบ กรรไกรตัดเล็บ กิ๊บติดผม ยางรัดผม ฯลฯ กลับสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในร้านเซเว่นฯ มากว่า 25 ปี ด้วยอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องก็ตาม

จากสินค้าร้านค้าปลีกท้องถิ่น สู่ร้านโมเดิร์นเทรด
คุณกวิน ศุภกฤตกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ริช เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด เล่าย้อนความให้ฟังว่า บริษัทผลิตสินค้ากลุ่มบิวตี้ แอกเซสซอรี เช่น ยางรัดผม กิ๊บ หวี ฯลฯ มากว่า 25 ปี โดยมีช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกท้องถิ่น ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ กระทั่งปี 2542 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และบริษัทได้เล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตทางการตลาดผ่านช่องทางขายของเซเว่นฯ จึงตัดสินใจนำสินค้าเข้าไปเสนอขาย
“สินค้าของเราถือเป็นสินค้ากลุ่มใหม่ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง โดยบริษัทได้รับคำแนะนำที่ดีจากทางทีม Merchandise และทีมจัดซื้อในเรื่องของแพ็กเกจจิ้ง ตลอดจนข้อมูลด้านตลาดต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงสินค้า ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า นำมาสู่การได้มีโอกาสวางจำหน่ายเซเว่นฯ ทุกสาขา ที่ขณะนั้นมีเพียงกว่า 1,000 สาขาเท่านั้น ด้วยสินค้า 8 SKUs ประกอบด้วย ยางรัดผม กิ๊บ และหวีต่างๆ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค”

ปรับมุมมอง สะท้อนสู่ตัวสินค้า
ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา คุณกวิน ยอมรับว่า ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของช่องทางการจัดจำหน่ายและข้อมูลด้านการตลาด เดิมตลาดเป็นการขายแบบออฟไลน์ลูกค้าต้องมาซื้อสินค้าเองที่ร้าน แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกคนต่างมุ่งสู่ตลาดออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งทางบริษัทก็ได้จำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของเซเว่นฯ ด้วยเช่นกัน
ข้อดีของการทำตลาดออนไลน์ และการเกิดใหม่ของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น ทำให้เห็นข้อมูลด้านการตลาดแบบเรียลไทม์ เนื่องจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าส่วนใหญ่มักจะโพสต์และแชร์ภาพ พร้อมคอมเมนต์ต่างๆ ทันที ทำให้บริษัทรับทราบถึงความต้องการของลูกค้าได้ทันที ซึ่งทางบริษัทก็จะนำข้อคิดเห็นที่ลูกค้าทั้งชมและแนะนำกลับมาพัฒนาสินค้าต่อไป
“เดิมการจะได้มาซึ่งข้อมูลด้านความต้องการของลูกค้า ต้องอาศัยการทำวิจัยเพื่อรวบรวมข้อมูล แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถรับรู้ข้อมูลของผู้บริโภคได้โดยตรง ซึ่งถือเป็นเรื่องดี และหากได้รับโนว์ฮาวจากผู้ที่รู้จริงที่อยู่ในตลาดมานานก็จะช่วยซัพพอร์ตเรื่องข้อมูลเชิงลึกให้ได้ เพื่อช่วยพัฒนาสินค้าได้ดียิ่งขึ้น”

หมั่นเรียนรู้ เติมความคิดสร้างสรรค์ สู่การพัฒนาต่อยอด
แม้สินค้าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคเป็นอย่างดี แต่ด้วยการที่สินค้าเป็นกลุ่มบิวตี้และแฟชั่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สินค้ายังคงตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค โดย 3 หัวใจหลักที่ทำให้สินค้าของบริษัทยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
คือ 1. หมั่นเรียนรู้ (Learning) : ผู้ประกอบการต้องรู้จักและเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี หมั่นศึกษาเทรนด์ใหม่ๆ เพื่อนำมาพัฒนาสินค้า 2. มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative) : นำข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดสินค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ 3. พัฒนาต่อยอดให้เป็นจริง (Change) : หากดูแล้วว่าข้อมูลที่ได้รับเป็นความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง หรือสร้างความต่างและความหลากหลายให้กับตลาด ผู้ประกอบการควรพัฒนาสินค้านั้นให้เป็นจริง

จากการไม่หยุดที่จะ เรียนรู้ และหมั่นเติมความคิดสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาต่อยอดสินค้า ทำให้ในปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่วางจำหน่ายในเซเว่นฯ ทั้งหมด 69 รายการ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ประกอบด้วย JOYOUS สินค้าแบรนด์ดั้งเดิมของบริษัท สินค้าประเภท แหนบ ยางรัดผม กรรไกรตัดเล็บ กรรไกรตัดหนัง เป็นต้น
JOYOUS Premium เป็นสินค้าต่อยอดจากแบรนด์ JOYOUS ที่มีความแตกต่างด้วยรูปแบบและลักษณะการใช้งานของสินค้า เช่น แหนบ พรีเมียม ที่ผลิตจากวัสดุสเตนเลสหนา รวมถึงรายการพัฟแต่งหน้า พรีเมียม ที่ผลิตจากวัสดุพัฟคุณภาพ ให้ผิวสัมผัสนุ่ม ยืดหยุ่น และไม่กินแป้ง/ครีมรองพื้น และกรรไกรตัดเล็บ พรีเมียม ที่มีที่เก็บเล็บภายในตัว
JOYCHEF สินค้าประเภทเครื่องใช้ภายในครัว เช่น มีดปอก ทัพพีตักข้าว และผ้าเช็ดมือ และ JOYUSE สินค้าของใช้ทั่วไป เช่น กุญแจล็อกและปลั๊กไฟอินเตอร์ โดยครอบคลุมในทุกระดับราคาตั้งแต่ 12-129 บาท

“การเติบโตอย่างยั่งยืนต้องมีพาร์ตเนอร์ที่ดี เพื่อช่วยซัพพอร์ตในเรื่องต่างๆ ส่วนตัวผู้ประกอบการเองก็จะต้องหมั่นเรียนรู้และเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อก่อให้เกิดสินค้าใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า อย่างต่อเนื่อง หากผู้ประกอบการมั่นใจในตัวสินค้าก็อย่าได้ลังเลที่จะเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด เพราะคู่ค้ายินดีที่จะช่วยคุณพัฒนาและเติบโตไปพร้อมกัน” คุณกวิน กล่าวทิ้งท้าย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2566