เปิดมุมคิด “นารายา” ลงทุนครั้งใหม่…รับ New Retail

บนเส้นทางกว่า 29 ปีของแบรนด์ “นารายา” จากเทรดดิ้งค้าขายอะไหล่รถยนต์สู่การทำแบรนด์กระเป๋าผ้าแฮนด์คราฟต์ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนเป็น Must have item. ที่ต้องซื้อกลับไปฝากเมื่อมาเมืองไทย

กลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดของ “วาสนา รุ่งแสนทอง” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นารายณ์อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์นารายาในช่วงที่ผ่านมานั้นเน้นแค่การใช้สินค้าเป็นตัวนำแต่เพียงเท่านั้น จะเห็นว่านารายาไม่ค่อยปรากฏลงในสื่อที่ไหน หรือแม้แต่การขยายสาขาก็เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนปัจจุบันมีเพียง 27 สาขาเท่านั้น

แต่วันนี้ “นารายา” กำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการทุ่มงบฯกว่า 1 พันล้านบาท ขยายรวด 13 สาขาภายในปีนี้ พร้อมกับสร้างช่องทางการเข้าถึงสินค้าใหม่ ๆ เช่น อีคอมเมิร์ซ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น และสร้างการเติบโตของธุรกิจในสปีดที่เร็วกว่าเดิม โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อปรับตัวรับกับ “new retail” หลังจากปีที่ผ่านมาพึ่งลงทุนไป 1.1 พันล้านบาทสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่รองรับการขยายตัวนี้

“วาสนา” อธิบายว่า ยุคนี้เป็นยุคของการค้าขายแบบใหม่ ออฟไลน์สู่ออนไลน์ที่ต้องเชื่อมกันอย่างไร้รอยต่อ โดยหน้าร้านจะต้องให้ประสบการณ์แก่ลูกค้ามากกว่าในอดีตให้ได้ เพราะแม้ว่าลูกค้าบางส่วนจะต้องการซื้อในออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ยังต้องการเห็นสินค้า ได้สัมผัส ได้ทดลองถือ
ลองหิ้ว ว่าเหมาะสมกับตนหรือไม่

 

จึงเป็นที่มาของการรีโนเวตร้านที่เซ็นทรัลเวิลด์ให้ดูใหม่ ทันสมัย มีการนำเทคโนโลยี “magic mirror” หรือจออินเตอร์แอ็กทีฟที่ลูกค้าสามารถถือสินค้าเพื่อส่องกระจกดูได้ และสามารถปัดมือไปทางซ้ายหรือขวาเพื่อเปลี่ยนสีของกระเป๋าโดยไม่ต้องเดินไปหยิบกระเป๋าใหม่อีกครั้ง

ตลอดจนการแบ่งเซ็กเมนต์ของสินค้าต่าง ๆ ให้จัดเจนยิ่งขึ้น โดยการแตกแบรนด์ใหม่เพิ่มอีก 4 แบรนด์ อาทิ “NARA” กระเป๋าและเครื่องประดับตกแต่งสำหรับผู้ชาย “Aphrodite” แบรนด์กระเป๋าพรีเมี่ยมในราคาจับต้องได้ “LaLaMa” แบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องประดับสไตล์โบฮีเมียน และ “Evangelisa” แบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องประดับจากผ้าไหมที่สามารถสวมใส่ได้ทุกวัน เพื่อเข้าไปตอบโจทย์ลูกค้าในโอกาสที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวที่ปัจจุบันประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯกลายเป็นเดสติเนชั่นของการท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของโลก

“วาสนา” ยังยกเครื่องโครงสร้างการบริหารครั้งใหญ่ด้วยการดึงมืออาชีพจากวงการค้าปลีกในต่างประเทศ “จอร์จ ฮาร์เทล” ซึ่งดูแลแบรนด์ดังอย่างปากกาปาร์กเกอร์ ฯลฯ มาดำรงตำแหน่งซีอีโอ พร้อมกับตั้งแผนกใหม่ขึ้นมาเสริมทัพทั้งมาร์เก็ตติ้ง, เอ็กซ์พอร์ต, อีคอมเมิร์ซ รวมถึงแผนกที่ดูแลลูกค้าจีนโดยเฉพาะ

“29 ปีที่ผ่านมาเราไม่เคยมีแผนกมาร์เก็ตติ้งเลย สินค้าของนารายาขายตัวเองมาโดยตลอด การเดินทางต่อไปของเรา (next journey) จำเป็นต้องทำให้องค์กรมีความทันสมัยและแข็งแรงขึ้น ให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ที่ดีกลับไปทั้งในร้านและออนไลน์ เพื่อรับมือกับยุคค้าปลีกสมัยใหม่ (new retail)”

พร้อมกับให้ลูกชาย “พศิน รุ่งแสนทอง ลาทูรัส” ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร เข้ามาช่วยดูในกลุ่มธุรกิจใหม่มากขึ้น เช่น อีคอมเมิร์ซ ที่เข้าไปร่วมมือกับทางลาซาด้า ช็อปปี้ เจดีดอทคอม เพื่อเป็นช่องทางสำหรับลูกค้าในประเทศ ส่วนลูกค้าต่างประเทศได้เข้าไปร่วมมือกับทางวีไอพีดอทคอม และยุนจี ซึ่งเป็นโซเชียลคอมเมิร์ซในจีน

ในขณะที่ตลาดต่างประเทศก็มีแผนที่จะขยายไปยังโซนยุโรปเพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดว่าจะร่วมมือกับทางอะเมซอน หลังจากการเข้าไปขยายธุรกิจแล้วใน 5 ประเทศ จนปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 15 แห่ง อาทิ ฮ่องกง ซึ่งบริษัทลงทุนเอง และอีก 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา ไต้หวัน เป็นรูปแบบของดิสทริบิวเตอร์

จากการลงทุนที่เกิดขึ้น และการปรับตัวเชิงรุก “วาสนา” มองว่าปีนี้รายได้รวมจะเติบโตในอัตราดับเบิลดิจิต จากปีที่ผ่านมามีรายได้ประมาณ 1.7 พันล้านบาท และสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านไม่ต่ำกว่า 2 พันครอบครัว และคนงานอีก 3 พันคนในโรงงานที่ทำสินค้าแฮนด์เมดให้กับนารายากว่า 12 ล้านชิ้นต่อปี

ต้องเติบโต…ไปด้วยกัน