เปิดอาณาจักร “เฮียใหญ่” แห่งนิ่มซี่เส็ง นักธุรกิจร้อยล้าน ยักษ์ขนส่งของภาคเหนือ

ความสำเร็จ นั้นอยู่ที่ผู้อื่นกล่าวถึง มิใช่ยกย่องสรรเสริญตนเอง จะรู้จักอุทัต สุวิทย์ศักดานนท์ มากไปกว่าความเป็นเฮียใหญ่ของคนเชียงใหม่  เจ้าของธุรกิจในเครือนิ่มซี่เส็ง สิงห์เหนือที่ประสบผลสำเร็จมากมายหลายอย่าง  เป็นยักษ์ในวงการขนส่งที่สร้างขึ้นมาด้วยมือและได้เห็นผลสำเร็จนั้นด้วยตาตนเอง

ย่อมต้องให้ความสนใจสายตาที่สังคมมองเขาอยู่

อุทัต สุวิทย์ศักดานนท์ เป็นหนึ่งในเพียงสี่คนไทยเชื้อสายจีนที่ได้รับเชิญจากรัฐบาลจีนเข้าร่วมประชุมสุดยอด100นักธุรกิจเชื้อสายจีนจากทั่วโลก นอกจากเขาแล้วมีเพียงเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าสัวใหญ่ค่ายช้าง   ,ธนินทร์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวซีพี. และ ไกรสร จันศิริ เจ้าสัวซีเล็คทูน่า

“ มีผมคนเดียวที่ไม่ใช่เจ้าสัว แถมบ้านนอกด้วย” เจ้าตัวบอกพร้อมยิ้มสว่าง เขาได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับผู้ประสบผลสำเร็จในหลากหลายสาขาวิชา

นั่นยืนยันว่าคนอื่น สังคมอื่น ยอมรับในความสำเร็จของเขา ขณะที่เจ้าตัว ยกให้เพียงสองสิ่งที่นำพาตนเอง ครอบครัว และธุรกิจมาถึงวันนี้ได้

“ขยัน และอดทน ผมมีเท่านั้นจริงๆ ทำๆๆๆเก็บๆๆๆ ถังคุณก้นไม่รั่ว วันหนึ่งน้ำมันก็เต็ม”

เกิดในครอบคัวคนจีน อุทัตทำงานช่วยครอบครัวตั้งแต่จำความได้  แต่เป็นตอนอายุสิบเจ็ดที่เขาต้องเปลี่ยนบทบาทจากลูกมาเป็นหัวหน้าครอบครัว  “คุณพ่อเสียชีวิตตอนท่านอายุแค่ 48 ก่อนเสียชีวิตเราก็ใช้เงินในการรักษามากมาย หลังท่านเสียก็ต้องแบ่งสมบัติกันไป ผมได้ร้านที่ตลาดวโรรสกลางเมืองเชียงใหม่ แต่ก็ต้องใช้หนี้หลายหมื่นกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”

เอกสารของธุรกิจในเครือนิ่มซี่เส็ง ซึ่งเขาเป็นผู้ก่อตั้ง กล่าวถึงการเริ่มต้นนั้นว่า “นิ่มซี่เส็ง เป็นธุรกิจของตระกูลสุวิทย์ศักดานนท์ เริ่มก่อตั้งโดย 3 พี่น้องคือ อุทัต สุวิทย์ศักดานนท์ อุทาน สุวิทย์ศักดานนท์ และ อุดม สุวิทย์ศักดานนท์ยเริ่มจากธุรกิจค้าผลไม้ในตลาดวโรรส ต่อมาได้รับจ้างขนส่งผลไม้และสินค้าระหว่างเชียงใหม่และภูมิภาคต่างๆ”

ต้องออกจากโรงเรียน เพื่อรับภาระหนัก เพื่อให้น้องได้เรียน แต่นั่นยังไม่ใช่จุดที่ท้าทายความอดทนที่สุดของเขา

“ไฟไหม้ตลาดวโรรสปีพ.ศ.2511 หมดเลยทุกอย่าง  สิ้นเนื้อประดาตัว บ้านช่อง สินค้าที่ใช้เงินเชื่อหามา หมดเลย ลูกก็ยังเล็ก  มันไม่ใช่แค่เหลือศูนย์ มันติดลบ เพราะผมยังมีแม่ มีครอบครัว มีลูกต้องดูแล ”

หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้น คนจึงเห็น”ตี๋ใหญ่” ปั่นสามล้อคันเดียวที่เหลืออยู่ ตระเวนรับจ้างไปทั่วเมือง รับขนส่งทุกอย่าง รับทำงานทุกอย่าง“ได้วันละแปดบาท เก็บสี่บาท กินสี่บาท ลูกผมนี่ก็กินข้าวต้มเป็นหลัก กับข้าวก็ปลาทูเป็นหลัก ล้อมวงกินกัน โอ๊ย สนุก “ เขาเล่ากลั้วหัวเราะ แต่พอถามว่า มันสนุกจริงหรือ ไม่เหน็ดเหนื่อยท้อบ้างหรือ

“ก็ท้อนะ แต่ทุกคนที่บ้านต้องกินข้าวน่ะ ” เขาบอกสั้นๆแบบนี้

สิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวไม่เคยเอ่ยถึง แต่มันซ่อนอยู่ในตัวคือ ความคิดจะไปให้ไกลกว่าที่เป็นอยู่

“ตอนนั้นเขายังขนส่งผักผลไม้จากกรุงเทพมาทางรถไฟ ใช้เวลา2วันสินค้าเน่าเสียมาก เราไปรับสินค้าที่สถานีรถไฟ  ก็เห็นโอกาส  จะซื้อรถปิคอัพมารับจ้างขนส่ง ขอซื้อเงินผ่อนเขาไม่ขาย  ต้องเก็บเงินสี่หมื่นกว่าบาทไปซื้อรถคันแรก “ หลังจากนั้น ตำนานสู้ของนิ่มซี่เส็งก็เกิดขึ้นอย่างที่เรารู้กันดี

เอกสารของธุรกิจในเครือนิ่มซี่เส็ง กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นว่า “ ปี2514 สามพี่น้องได้จดทะเบียน ตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้น แต่ด้วยความบกพร่องของงานเอกสารในช่วงจดทะเบียน ชื่อห้างหุ้นส่วนจึงเปลี่ยนจาก “นิ้มซี่เส็ง” ซึ่งเป็นชื่อร้านโชวห่วยเดิมของเตี่ย กลายเป็น “นิ่มซี่เส็ง” แต่ทั้ง 3 ก็ได้ใช้ชื่อนี้มาตลอด”

อุทัต ใช้รถคันนั้นวิ่งรับจ้างขนผักผลไม้ระหว่างกรุงเทพ-เชียงใหม่ และได้รู้ว่าต้นทุนกับราคาสินค้าที่ปลายทางต่างกันเพียงไร

”องุ่นที่กรุงเทพโลละสองบาทห้าสิบ มาส่งให้พ่อค้าที่เชียงใหม่ห้าบาท เอาละสิ  สนุกละสิ “

เขาจึงไม่รับจ้างขนสินค้าเป็นหลักอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ค้าด้วยตนเอง ขับรถตะลุยขนส่งผักผลไม้ไม่หยุดหย่อน ไม่ยอมเสียเวลาพัก เปิดศักราชใหม่ของการขนส่ง และการค้าผักผลไม้ของเชียงใหม่เวลานั้น  พ่อค้าแม่ค้าที่เหนื่อยหน่ายต่อการรอสินค้าทางรถไฟ หันมาใช้บริการของ”ตี๋ใหญ่” ที่พร้อมจะนำสินค้ามาถึงภายในเวลาไม่ถึง10ชั่วโมง สดกว่า ถูกกว่า

“ คนอื่นเขานอนหลับ ผมยังขับรถตะลุยไปทั่ว  ตีสองสินค้าผมมาถึงแล้ว”

แรงกายที่ทุ่มลงไปสร้างผลกำไรให้น่าตื่นตาตื่นใจ  ทุกคนในครอบครัวลงแรง ภายใต้หลักการที่เขายึดมั่น “ขยัน และอดทน”

“ผมขนผักผลไม้มาส่งพ่อค้าแม่ค้าในเชียงใหม่ทั้งจังหวัด ไม่ว่าอำเภอไหนส่งถึงที่ น้องนุ่งลูกเมียก็เปิดร้านขายผลไม้ไป ตอนเย็นมารวมตัวกัน นับเงิน” เขายิ้ม

แล้วตำนานของนิ่มซี่เส็งก็ดำเนินไป  ง่ายๆแบบนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ทุกก้าวปูไปด้วยความอดทนและประหยัดอย่างที่เจ้าตัวยืนยัน เสริมด้วยบริบททางสังคมและการมองการณ์ไกลอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว

ปัจจุบันธุรกิจในเครือนิ่มซี่เส็ง ประกอบด้วย บริษัท นิ่มซี่เส็งขนส่ง 1988 จำกัด,บริษัท นิ่มซี่เส็งลิสซิ่ง จำกัด ,บริษัท นิ่มซี่เส็งเอ็กซ์เพรส จำกัด ,บริษัท นิ่มซี่เส็งโลจิสติกส์ จำกัด, บริษัท นิ่มซี่เส็

รถยก จำกัด, บริษัท นิ่มซี่เส็งคลังสินค้า จำกัด, บริษัท นิ่มซี่เส็งพาเซล จำกัด, บริษัท นิ่มซี่เส็งห้องเย็น จำกัด, บริษัท นิ่มซี่เส็งมูฟวิ่ง จำกัด และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกจำนวนมาก

นิ่มซี่เส็งขนส่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ มีรถบรรทุกในเครือรวมทั้งรถร่วมประมาณ 500 คัน พนักงานขนสินค้า และคนขับประมาณ 1,000 คน ขณะนิ่มซี่เส็งลิสซิ่ง เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการการเงินท้องถิ่น ด้วยสาขา326สาขาทั่วภาคเหนือ และลูกค้ากว่า 1 ล้านราย

ปัจจุบันทุกธุรกิจในเครือนิ่มซี่เส็งเนื้อหอมกรุ่นท่ามกลางกลุ่มธุรกิจในและต่างประเทศที่ต้องการร่วมทุน มูลค่าของธุรกิจทั้งหมด จากการประเมินของกลุ่มทุนที่จะเข้ามาร่วมทุน มากกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท

เป็นหนึ่งหมื่นล้านบาทที่สร้างขึ้นจากมือคนปั่นสามล้อค่าตัววันละแปดบาทเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน

“พ่อเป็นตัวอย่างของการทำงานหนัก และพุ่งสู่จุดหมายโดยไม่ให้สิ่งใดมาบั่นทอนแรงทะยานนั้นได้”ชัยวัฒน์ สุวิทย์ศักดานนท์ ลูกชายที่รับไม้ต่อในการบริหารจัดการธุรกิจลิสซิ่งซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหลักของนิ่มซีเส็งยุคใหม่ บอก

อุทัตใช้ตำราพ่อมาสอนลูก ลูกของเขาจึงไม่ได้ใช้ชีวิตวันเด็กสบายเหมือนลูกคนมีเงินทั่วไป หากแต่ต้องแบกขนในสถานีขนส่งมาแต่เด็ก

“ผมบอกพวกเอ็งอย่าเป็นอาเสี่ย เอ็งต้องเป็นเถ้าแก่ เถ้าแก่ทำได้ทุกอย่าง อาเสี่ยนี่ชี้นิ้วอย่างเดียว”

อุทัตใช้ความเข้มงวด บางครั้งเข้มงวดอย่างเหลือเชื่อ ในการปกครองลูก แต่วันนี้มันส่งผลให้เขายิ้ม ดีใจที่ลูก

“ได้ดั่งใจทุกคน “

อุทัตมีภรรยาที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ยังยากจนข้นแค้น ภรรยาที่เขาบอกว่าประเสริฐสุด เพราะมีแต่แรงเสริมให้สามีและลูก  “ผมเสียผีสิบสองบาทห้าสิบ ไม่ได้แต่ง ไม่ได้ซื้อข้าวของอะไรให้ เพราะไม่มีเงิน เขาก็ยอมมาอยู่ด้วย มาดูแลครอบครัว ดูแลแม่เรา ช่วยเหลือและอดทนสารพัด หาอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว “ ภรรยาของเขาคือ อุษา สุวิทย์ศักดานนท์ ที่ทุกวันนี้เป็น”แม่”เปี่ยมเมตตาของพนักงานในเครือนิ่มซี่เส็งหลายพันคน

ลูกๆของเขา เดินตามรอยพ่อทุกคน ลูกสาวคนแรก ดร.ปราณี สุวิทยศักดานนท์ จบการศึกษาจากอเมริกา ปัจจุบันบริหารธุรกิจในเครือ ,ชวลิต สุวิทย์ศักดานนท์ ลูกชายคนที่สอง ดูแลธุรกิจขนส่ง ,ชัยวัฒน์ สุวิทย์ศักดานนท์ ลูกชายคนที่สาม ดูแลธุรกิจลิสซิ่ง, ชาติชาย สุวิทย์ศักดานนท์ ลูกชายคนเล็กที่เขาบอกว่านิสัยใจคอเหมือนแม่มากที่สุด ดูแลธุรกิจในกรุงเทพ ลูกหลานอื่นๆร่วมดูแลธุรกิจอีกมากมาย

ทุกวันนี้อุทัตยังดำรงตนบนความประหยัดที่เขาถือเป็นหลักสำคัญที่สุดในชีวิต “ผมไม่ซื้อเสื้อผ้า ใส่เสื้อบริษัท ใส่เสื้อแจก บางตัวลูกซื้อให้ บางตัวคนซื้อมาฝาก ผมมีเสื้อผ้าไม่ถึงสิบชุด รองเท้ามีไม่กี่คู่ ผมยังกินข้าวแกง ใช้เงินวันละไม่ถึงร้อย มันก็อร่อยและอิ่มได้เหมือนกัน “

รถที่เขาขับประจำเป็นรถญี่ปุ่นคันเล็ก ซึ่งสร้างภาระในการตอบคำถามว่าทำไมไม่ขับเบนซ์หรือรถยุโรปให้สมฐานะ “ก็ผมชอบของผมอย่างนี้น่ะ ขับก็ง่าย จอดก็ง่าย จะไปขับรถใหญ่ให้เหนื่อยทำไม?”

ถามเขาว่าในชีวิตเขาซื้อข้าวของฟุ่มเฟือยบ้างหรือไม่ เขาใช้เวลาคิดนาน ก่อนจะถูมือตื่นเต้นเมื่อนึกออก

“มีสิ ผมซื้อรถคันละหกเจ็ดล้านเลยนะคุณ”

“รถสิบล้อไง ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้มันหาเงินได้เลย “เขาหัวเราะตบท้ายสบายใจ

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

นิ่มซี่เส็ง มาจากคำว่า นิ่ม ซึ่งมาจาก แซ่ลิ้ม ที่จริงออกเสียงถูกต้องจะต้องเป็น ”นิ้ม”  ส่วน ซี่เส็ง คือพระอาทิตย์ขึ้น ให้ความหมายว่า มีแสงสว่างตลอดเวลา ”นิ้มซี่เส็ง”เป็นชื่อร้านโชวห่วยดั้งเดิมของรุ่นพ่อ แต่เมื่อสามพี่น้องไปจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้นในปีพ.ศ.2514 ความบกพร่องของงานเอกสารทำให้ ชื่อถูกเปลี่ยนจาก “นิ้มซี่เส็ง” สามพี่น้องมุ่งมั่นในการค้าเกินกว่าจะสนใจกลับไปแก้ไขชื่อนั้น จนบัดนี้40กว่าปีแล้ว ชื่อสะกดผิดไม่มีผลกระทบต่อความสำเร็จแม้แต่น้อย

เส้นเลือดนิ่มซี่เส็ง

บริษัท นิ่มซี่เส็ง ขนส่ง 1988 จำกัด

มีรถบรรทุกในเครือรวมทั้งรถร่วมประมาณ 500 คัน พนักงานขนสินค้า และคนขับกว่า 1,000 คน สำนักงานใหญ่อยู่ที่ดินแปลงใหญ่กว่า80ไร่บนถนนเชียงใหม่-ลำปาง เฉพาะมูลค่าที่ดินก็เกินกว่าพันล้านบาท อุทัตมอบให้ชวลิต สุวิทย์ศักดานนท์ ลูกชายคนโต คนที่เขาบอกว่า “สู้งานหนัก ลุย ไม่กลัวงานสกปรก” ดูแล ชวลิตจบการศึกษาจากต่างประเทศ ปัจจุบันเป็นหนึ่งในเสาหลักของนิ่มซี่เส็งรุ่นใหม่ ดูและธุรกิจขนส่งซึ่งมีบริษัทลูกกว่าสิบบริษัท

บริษัท นิ่มซี่เส็งลิสซิ่ง จำกัด

อุทัตบอกว่า นิ่มซี่เส็งมีกระดูกสันหลังที่แข็งแกร่งคือธุรกิจขนส่ง แต่มีเส้นเลือดใหญ่ คือธุรกิจลิสซิ่ง ธุรกิจที่ทำให้นิ่มซี่เส็งเติบโตก้าวกระโดดในระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมา กลายเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ชิ้นใหญ่ในหลายจังหวัดภาคเหนือตอนบน นิ่มซี่เส็งลิสซิ่ง ก่อตั้งเมื่อปี2528  และเติบใหญ่ก้าวกระโดดสวนทางกับเศรษฐกิจที่ซบเซาหนักในปีพ.ศ.2540 เพราะนโยบายการบริหารแบบมองการณ์ไกลและกล้าได้กล้าเสียของชัยวัฒน์ สุวิทย์ศักดานนท์ ลูกชายคนกลาง ที่อุทัตบอกว่า “ไม่ค่อยชอบงานหนัก แต่ชอบคิด ชอบวางแผน ” อุทัตรู้ว่าเขายกภาระงานให้ลูกไม่ผิดคน ปัจจุบันนิ่มซี่เส็งลิสซิ่งเป็นสถาบันการเงินในท้องถิ่นที่มีสาขามากที่สุดในภาคเหนือตอนบน มีลูกค้ากว่า1ล้านบัญชี กำไรเฉลี่ยปีละ300ล้านบาท

 

ผู้เขียนโดย : กรรณิกา เพชรแก้ว