เล่าตำนานร้อยปี กับ 4 ยุค จุดกำเนิดธุรกิจเรือสำราญ

เล่าเรื่องสารพัดมาแล้วยังไม่เคยเอ่ยถึงเรือสำราญเลย ช่วงนี้มีข่าวเรื่องเรือสำราญลำใหม่เผยโฉมออกมาเยอะมาก จึงคิดว่าได้เวลาเล่าสู่กันฟังแล้วล่ะ

เรือสำราญนั้นเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ในตัวเองและมีให้เลือกหลายรูปแบบด้วยกัน เหมาะสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว ทั้งที่ไปเดี่ยวๆ (เพื่อหาเพื่อนใหม่) ทั้งไปแบบมีคู่แล้ว (ฮันนีมูน) หรือเดินทางกันแบบครอบครัวเพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด เพราะว่าที่ทางบนเรือนั้นมีข้อจำกัดไม่ให้ใครหนีหน้าใครไปไหนได้

ใครที่เคยชมภาพยนตร์ชุด The Love Boat หรือ “เรือรัก เรือสำราญ” ซีรีส์อเมริกันอันโด่งดังที่ฉายกันทางสถานีโทรทัศน์เอบีซี ระหว่างปี พ.ศ. 2520-2529 คงจะจำภาพความหรูหราสำเริงสำราญบนเรือสำราญลำนั้นได้

เรื่องราวสุดแสนจะโรแมนติกของการพบรัก ความหรูหราฟุ่มเฟือย ความขัดแย้ง ปมปริศนาหรือแม้แต่ความตื่นเต้นผจญภัย กรณีการฆาตกรรม มีครบทุกรสบนเรือสำราญขนาดใหญ่ลำหนึ่ง ที่มีทุกอย่างบริการครบถ้วนประดุจเมืองเมืองหนึ่งลอยไปลอยมาอยู่ในน้ำ

นั่นแหละคือความหมายของเรือสำราญที่ภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่องนี้ได้นำเสนอเป็นภาพทรงจำ ประทับใจผู้คนทั่วโลก

หากจะย้อนอดีตไปถึงต้นทางที่เป็นต้นกำเนิดของเรือสำราญนั้น มีมายาวนานกว่าร้อยปีแล้ว แม้แต่เรือโดยสาร “ไททานิค” อันโด่งดังที่ออกเดินเรือเที่ยวแรกแล้วจมลงในปีค.ศ. 1912 เพราะไปชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ นั่นก็ถือว่ามีบริการสำหรับผู้โดยสารชั้น 1 ประดุจบริการแบบเรือสำราญเช่นกัน

ประวัติศาสตร์เรือสำราญเริ่มมีจริงจังตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) เป็นการเดินทางของกลุ่มคนร่ำรวยเป็นหลัก ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 นักเดินทางขยายมาเป็นกลุ่มคนทั่วไปมากขึ้น ถือเป็นยุครุ่งเรืองของการเดินเรือทะเล จากนั้นเมื่อมีการขนส่งทางอากาศที่สะดวกสบายและใช้เวลาน้อยกว่าหลายเท่าตัว ความนิยมเดินทางทางเรือก็ลดน้อยลง จนเรือโดยสารระหว่างทวีปไม่มีบริการแล้ว เหลือเพียงเรือสำราญเพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้น

จุดกำเนิดของธุรกิจเรือสำราญพัฒนามาจากการเดินเรือยุคโบราณตั้งแต่สมัยอียิปต์ โรมัน และกรีก ยุคแรกมีจุดประสงค์เพื่อการค้าเป็นหลัก จนกระทั่งในศตวรรษที่ 20 มีการพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำ เกิดเรือกำปั่นไฟหรือเรือกลไฟขึ้นก็มีการพัฒนาเรือให้สามารถใช้เดินทางในระยะไกลมากขึ้น

ลักษณะเรือโดยสารยุคแรกเป็นเรือบรรทุกขนาดใหญ่ ไม่ได้มีความสะดวกสบายนัก จนกระทั่งอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเปิดเส้นทางเดินเรือกว้างขึ้น กลายมาเป็นอุตสาหกรรมเดินเรือขนาดใหญ่ มีการแข่งขันพัฒนาเรือและสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนรูปแบบการท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้าอย่างเช่นในปัจจุบัน

เราสามารถที่จะแบ่งเป็นยุคเรือสำราญออกเป็น 4 ยุคด้วยกันคือ

ยุคเรือพลังไอน้ำ

ยุคนี้เป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการค้นพบประโยชน์จากพลังงานไอน้ำมาขับเคลื่อนเครื่องยนต์ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการเดินทางด้วยเรือโดยสารที่ตอบสนองความต้องการของชนชั้นกลางได้มากขึ้น มีการปรับปรุงเรื่องความสะดวกสบาย และเปลี่ยนโครงสร้างเรือจากไม้เป็นเรือเหล็ก ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเดินเรือยุคแรกนี้เป็นที่นิยมก็เพราะมีการเปิดช่องแคบที่เรียกว่า “คลองสุเอซ” และ “คลองปานามา” ทำให้เส้นทางการเดินเรือระหว่างทวีปมีระยะทางที่สั้นลงมาก

ยุคเส้นทางเดินเรือทะเล

เป็นปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นยุคที่มีการเดินทางทางทะเลมากที่สุด เนื่องจากเรือโดยสารมีขนาดใหญ่ขึ้น บรรทุกคนได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังมีการกำหนดเส้นทางเดินเรือที่ชัดเจนเอาไว้เป็นตารางเวลา ทั้งวันที่ออกเดินทางและกำหนดวันถึงที่หมายล่วงหน้า ผู้โดยสารจึงสามารถกำหนดแผนการเดินทางได้อย่างสะดวก ช่วงนี้เรือโดยสารส่วนใหญ่จะเป็นเรือสำราญที่มีลักษณะหรูหรามากขึ้น

ยุคการเดินเรือสมัยใหม่

อุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือเติบโตถึงขีดสุดในยุคทอง หลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะมีการเดินทางอพยพออกไปต่างประเทศกันมากมาย ทั้งในกลุ่มผู้โยกย้ายถิ่นฐานหนีภัยการเมืองและการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างคนต่างทวีป ทำให้ธุรกิจเรือสำราญเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริหารธุรกิจระดับสูง และกลุ่มคนที่มีฐานะดียังคงนิยมเดินทางโดยเรือกันอย่างต่อเนื่อง

ยุคท่องเที่ยวทางเรือปัจจุบัน

ศตวรรษที่ 21 นี้อุตสาหกรรมเรือสำราญกลายเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยแบบไม่มีตก ผลักดันให้การท่องเที่ยวทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการต่อเรือสำราญเพิ่มขึ้นทุกปี และมีการขยายเส้นทางท่องเที่ยวออกไปสู่น่านน้ำสากลทั่วโลก โดยไม่มีขีดจำกัดอีกต่อไป ทั้งๆ ที่การเดินทางโดยเครื่องบินได้รับความสะดวกสบายและรวดเร็วกว่า แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวไปกับเรือสำราญนั้นมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ยังดึงดูดใจผู้คนมากมาย  แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะมากพอสมควรก็ตาม

แต่สำหรับคนไทยนั้นธุรกิจท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญอาจยังไม่ตอบสนองความต้องการมากนัก ยังได้รับความสนใจเฉพาะนักเดินทางเพียงบางกลุ่มที่มีฐานะดี เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่อหัวค่อนข้างแพง เพราะชีวิตบนเรือนั้นหรูหราฟุ่มเฟือย สมกับ “ความสำราญ” ที่ได้แลกมา

แต่ก็ยังอยากเล่าให้ฟังกันเป็นความรู้ว่าเวลานี้เขาเที่ยวเรือสำราญกันอย่างไร

แบบเวิลด์ครูซ เป็นการเดินทางท่องเที่ยวรอบโลกทางเรือ เหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจของคนที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่มีเงินทองมากมายมหาศาลที่จะซื้อบริการแบบส่วนตัวชั้น 1 หรูหรา อาหารอย่างดี ดังนั้น ค่าใช้จ่ายแต่ละรอบจึงเริ่มต้นที่ 1-6 ล้านบาท สำหรับการเดินทางไปกับเรือควีนอลิซาเบธ 2

แบบธีมครูซ เป็นการเดินทางที่ผู้ประกอบการจะสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ที่เป็นความสนใจเฉพาะด้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกันไป เช่น ธีมสันทนาการด้านกีฬา เกม บันเทิง ดนตรี ละคร ภาพยนตร์ หรือเพื่อการศึกษา ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับความหรูหราและระยะเวลาเดินทาง

แบบเรือบรรทุกสินค้า ซึ่งจัดบริการที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวไว้ด้วย ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักเดินทางที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายจากเส้นทางเดินเรือโดยทั่วไป แต่จะมีการจำกัดจำนวนผู้โดยสารและแพทย์ประจำเรือ  รวมแล้วประมาณ 10-20 คนเท่านั้นในแต่ละเที่ยว ส่วนที่พักจะคล้ายกับเรือสำราญทั่วไปแต่ราคาระดับปานกลาง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือความบันเทิงมากนัก

แบบเรือสำราญล่องลำน้ำ เป็นการนำนักท่องเที่ยวไปชื่นชมกับบรรยากาศของเรือที่กำลังแล่นผ่านเส้นทางน้ำสายต่างๆ มีบริการอาหาร เครื่องดื่ม รวมทั้งที่พักแล้วแต่ว่าเส้นทางนั้นใช้เวลามากน้อยเพียงใด

แบบเรือยอร์ช เป็นเรือที่มีไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวเช่าเดินทางท่องเที่ยวได้ตามความต้องการ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2  ประเภทคือ แบบที่ผู้เช่ากำหนดเส้นทางเดินเรือเองทั้งหมด ไม่มีลูกเรือบริการ แต่นักท่องเที่ยวจะต้องมีประสบการณ์เดินเรือด้วยตนเองหรือเป็นทหารเรือมาก่อน กับแบบเช่าเหมาเพื่อเดินทางเป็นกลุ่ม เลือกเส้นทางการเดินเรือด้วยตนเองได้ แต่จะมีลูกเรือเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่บนเรือ

 

ใครฝันจะลงเรือสำราญแบบไหน ก็ตรวจสอบกระเป๋าเงินของตัวเองได้เลย ว่าเหมาะกับแบบใด  จากนั้นก็เปิดเว็บไซต์ กางแผนที่เดินเรือจองตั๋วกันได้เลยค่ะ