อ.เจษฎ์ เผยงานวิจัยชี้ การประท้วงอย่างถูกสุขลักษณะ ไม่ทำให้คนติดโควิดเพิ่มขึ้น

อ.เจษฎ์ เผยงานวิจัยชี้ การประท้วงอย่างถูกสุขลักษณะ ไม่ทำให้คนติดโควิดเพิ่มขึ้น

วันที่ 22 ก.ค. 63 รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ โพสต์ข้อความระบุว่า “งานวิจัยบอกว่า การประท้วง (อย่างถูกสุขลักษณะ) ไม่ได้ทำให้จำนวนของผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสพุ่งสูงขึ้น”

หลายคนมีความเป็นห่วงว่าการชุมนุมประท้วงที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา นั้นน่าจะทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อโรค โควิด-19 เป็นอย่างมาก แต่ผลการวิจัยหนากว่า 60 หน้าของนักเศรษฐศาสตร์จาก the National Bureau of Economic Research กลับให้ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจว่า

การเดินขบวนประท้วงที่จัดขึ้นเพื่อต่อต้านการเหยียดผิวกรณีการเสียชีวิตของ George Floyd กลับไม่ได้ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดพุ่งสูงขึ้นในหลายๆ เมืองใหญ่ที่มีการประท้วง! ช่วงที่เกิดกรณีการเสียชีวิตของ Floyd ขึ้นนั้น เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเตือนเป็นการใหญ่ว่า การตะโกนโห่ร้องในพื้นที่แออัดของกลุ่มผู้ประท้วง จะทำให้เชื้อไวรัสแพร่อย่างรวดเร็ว และนำไปให้หายนะจากการระบาดของโรค

แต่ผลการวิจัยกลับ “ไม่พบ” หลักฐานว่า การประท้วงในเมืองต่างๆ ยาวนานกว่า 3 สัปดาห์นั้น จะไปเร่งให้เกิดการเพิ่มสูงขึ้นของโรคโควิดแต่อย่างไร ในทางตรงกันข้าม กลับพบว่า เมืองต่างๆ ที่มีการประท้วงนั้น ผู้คนมีพฤติกรรมด้านการเว้นระยะห่างกับสังคม (social distancing) ดีขึ้นกว่าเมืองที่ไม่ประท้วงอีก แถมคนที่ไม่อยากร่วมประท้วงก็เก็บตัวอยู่กับบ้าน…เลยกลายเป็นว่า ในเวลาต่อมา กลับทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ ลดลงเสียด้วยซ้ำ

ผลการศึกษานี้ สอดคล้องกับผลการตรวจหาเชื้อโรค โควิด-19 ในหลายเมืองที่เป็นจุดใหญ่ของการชุมนุมประท้วง ตัวอย่างเช่น ที่เมือง Minneapolis ซึ่งมีการตั้งศูนย์ตรวจในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการประท้วง และตรวจผู้คนไปมากกว่า 15,000 คน แต่พบว่ามีเพียงแค่ 1.7% ที่มีผลเป็นบวก ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งรัฐซึ่งอยู่ประมาณ 3.6%

มีรายงานด้วยว่า ผู้ที่เข้าร่วมประท้วงที่เมือง Minneapolis นั้น มีอัตราการติดเชื้อน้อยกว่า 1% เสียอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่า อัตราการติดเชื้อที่ต่ำนี้สะท้อนให้เห็นว่า เป็นผลจากการที่คนส่วนใหญ่ใส่หน้ากากมาเข้าร่วมชุมนุมประท้วง รวมทั้งมีการเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ในฝูงชนด้วย

สัปดาห์หน้านี้ เคยมีรายงานมาก่อนนะว่า ไม่ใช่การประท้วง (protest) แต่เป็นงานปาร์ตี้ (party) ต่างหากที่เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อโคโรน่าไวรัสพุ่งขึ้นในรัฐวอชิงตัน … เจ้าหน้าที่เชื่อว่า การรวมกลุ่มทางสังคม อย่างเช่น การจัดงานปาร์ตี้ ซึ่งผู้คนไม่สวมหน้ากากอนามัยนั้น คือสาเหตุหลักของการแพร่ระบาดของเชื้อ

ผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกานี้ ก็สอดคล้องกับกรณีของประเทศอังกฤษ ที่การประท้วง Black Lives Matter ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ก็ไม่ได้ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในกรุงลอนดอนพุ่งขึ้นแต่อย่างไร

ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในลอนดอนหลายครั้ง มีผู้เข้าร่วมสูงสุดถึงหลักหมื่นคนในวันที่ 6 มิถุนายน ในขณะที่โรคโควิดก็ยังไม่หายไป แต่น่าจะเพราะความพยายามในการป้องกันโรค เช่น มีสตาฟกดเจลแอลกอฮอล์ใส่มือทุกคน และเน้นย้ำให้ทุกคนใส่หน้ากาก รวมถึงความพยายามที่จะอยู่ห่างกัน

เพื่อให้เกิด social distancing .. พบว่า แม้เวลาผ่านไปแล้วเป็นเดือนๆ ก็ไม่ได้ปรากฏยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้น (ดูรูปกราฟประกอบ) ทั้งที่การตรวจหาเชื้อโควิดของทั้งสหราชอาณาจักร ก็ดำเนินไปอย่างทั่วถึง เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 120,000-140,000 รายต่อวัน !

ข้อสรุปคือ แม้จะมีการจัดชุมนุมประท้วงเดินขบวนทางการเมืองก็ตาม แต่ถ้าจัดอย่างเหมาะสม โดยเน้นหลักสุขอนามัย เช่น การใส่หน้ากากอนามัย รักษาความสะอาดของมือ อยู่ห่างกันในระยะที่เหมาะสม ก็ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้น แต่อย่างไร

ภาพและข้อมูล การประท้วงที่อเมริกา จาก https://www.forbes.com/…/research-determines-protests-did…/…

ภาพและข้อมูล การประชุมที่ประเทศอังกฤษ จาก https://www.facebook.com/103145224395270/posts/316204953089295/

"งานวิจัยบอกว่า การประท้วง (อย่างถูกสุขลักษณะ) ไม่ได้ทำให้จำนวนของผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสพุ่งสูงขึ้น"…

โพสต์โดย อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ เมื่อ วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2020