เมืองไทยประกันชีวิต เปิดกลยุทธ์ พัฒนาผลิตภัณฑ์-บริการ รับชีวิตวิถีใหม่

เมืองไทยประกันชีวิต เปิดกลยุทธ์ New Normal Now “MTL” พัฒนาผลิตภัณฑ์-บริการ รับชีวิตวิถีใหม่

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังการเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เมืองไทยประกันชีวิต ได้ประกาศเดินหน้าจุดยืน “MTL Everyday Life Partner” ในการเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิตโดยยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมชูกลยุทธ์ New Normal Now “MTL” ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และช่องทางการขายที่หลากหลาย บนแพลตฟอร์ม Digital และ Non-digital มุ่งตอบโจทย์ความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์และขจัด Pain Point ของลูกค้าอย่างตรงจุด

ทั้งนี้ บนโลกชีวิตวิถีใหม่ ที่ประชาชนหันมาใส่ใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ทำให้มีการมองหาประกันชีวิตและสุขภาพที่สามารถตอบโจทย์เรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้อย่างครอบคลุม เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เมืองไทยประกันชีวิต ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ D Health” เก็ทง่าย จ่ายเต็มแม็กซ์ ที่โดดเด่นด้วยความคุ้มครองสุขภาพที่เข้าใจง่ายและให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยในแบบเหมาจ่ายตั้งแต่ 1 ล้านบาท สูงสุด 5 ล้านบาท ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า ทั้งคนที่มีสวัสดิการและไม่มีสวัสดิการ หมดกังวลเรื่องค่าห้องที่อาจปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต สบายใจเรื่องค่าห้องผู้ป่วยหนัก (ไอซียู) ที่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หายห่วง เรื่องค่ารักษาพยาบาลเพราะ ดี๊ดี! ดูแล ดังนี้

  • ค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน และ ค่าห้องผู้ป่วยหนัก (ไอซียู) เหมาจ่ายตามจริง
  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน เหมาจ่ายตามจริง
  • กรณีเจ็บป่วยและกรณีผ่าตัด ทั้งโรคทั่วไปและโรคร้ายแรง เหมาจ่ายตามจริง
  • ดูแลกันยาวๆ ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี
  • ดีที่เลือกได้ เหมาจ่ายตั้งแต่บาทแรก สูงสุด 5 ล้านบาท* ต่อการเข้าพักรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
  • ดีที่ได้เลือก เหมาจ่ายแค่ส่วนเกินจากสวัสดิการที่มีอยู่ เพื่อทำให้เบี้ยถูกลง

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าในการเสนอผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพและโรคร้ายแรง นอกจากจะได้รับความคุ้มครองแล้วเบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับการหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิต แล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับผู้ที่ซื้อสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 365 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร

นายสาระ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการพัฒนาด้านบริการ สำหรับโลกยุค New Normal นั้น จะมุ่งเน้นสู่การเป็นดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ  พร้อมพัฒนาแอพพลิเคชั่น “MTL Click” ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านประกันชีวิตได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การดูข้อมูลกรมธรรม์ การชำระเบี้ยประกัน การเคลม การค้นหาโรงพยาบาล การปรึกษาปัญหาสุขภาพออนไลน์ผ่านบริการ Telemedicine กับโรงพยาบาลสมิติเวช หรือการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า เมืองไทยสไมล์คลับ ที่ได้คัดสรรกิจกรรมสุดพิเศษ พร้อมปรับรูปแบบให้เข้าวิถีใหม่ไว้อย่างครบครัน

โดยในส่วนของการให้บริการด้าน Telemedicine เมืองไทยประกันชีวิตได้เดินหน้ายกระดับบริการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยความร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช ได้เพิ่มอนุสาขาของแพทย์ ที่ให้การรักษาผ่าน Virtual Hospital เพิ่มอีก 53 สาขา เช่น อายุรกรรมต่อมไร้ท่อ หัวใจ สูตินารีเวช หู คอ จมูก อายุรศาสตร์ด้านการติดเชื้อแพทย์ผิวหนัง หอบหืดและภูมิแพ้ เป็นต้น โดยมีแพทย์อนุสาขาทั้งหมดกว่า 400 ท่าน ที่พร้อมให้คำปรึกษาและรักษาได้ทั้งคนไข้เก่าและใหม่ ซึ่งความคุ้มครองอย่างเต็มรูปแบบนี้ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตสามารถเข้าถึงได้ผ่าน feature My Healthcare ในแอพพลิเคชั่น MTL Click สำหรับลูกค้าประกันกลุ่ม และจะเปิดให้บริการสำหรับลูกค้าประกันเดี่ยวในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้

นอกจากนี้ เมืองไทยประกันชีวิตยังมีการขยายบริการ Telemedicine เฉพาะกิจไปยังโรงพยาบาลคู่สัญญาอีกถึง 48 แห่ง สำหรับผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นโรคเรื้อรังและเป็นผู้ป่วยเดิมที่มีประวัติการรักษาในโรงพยาบาล ที่มีนัดตรวจติดตามการรักษา เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก และลดความเสี่ยงจากการเดินทางออกจากบ้านให้แก่ผู้เอาประกันภัยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เริ่มให้บริการตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2563 และเตรียมที่จะขยายสู่ Telemedicine เต็มรูปแบบต่อไปในอนาคต

ในการพัฒนาด้านบริการเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เมืองไทยประกันชีวิต ได้ร่วมพัฒนาระบบกับเครือโรงพยาบาลบางปะกอก พัฒนานวัตกรรมระบบการเชื่อมโยงทางอิเล็กทรอนิกส์ Application Programming Interface หรือ API ซึ่งระบบดังกล่าวจะช่วยยกระดับการให้บริการด้านการเคลมและเรียกร้องสินไหมให้มีความสะดวกรวดเร็ว และสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้เอาประกันภัยที่ใช้บริการที่โรงพยาบาลเพียงบัตรประชาชนใบเดียว และข้อมูลที่ทำผ่านระบบนั้น อยู่ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ โดยปัจจุบันเริ่มให้บริการได้ที่เครือโรงพยาบาลบางปะกอก 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลบางปะกอก 1 โรงพยาบาลบางปะกอก 3 โรงพยาบาลบางปะกอก 8 โรงพยาบาลบางปะกอก 9 โรงพยาบาลบางปะกอกรังสิต และโรงพยาบาลบางปะกอก สมุทรปราการ ซึ่งเริ่มให้บริการที่ผู้ป่วยนอกก่อน และกำลังพัฒนาเพื่อให้บริการในผู้ป่วยใน เป็นลำดับถัดไป รวมถึงมีแผนที่จะขยายไปในโรงพยาบาลคู่สัญญาแห่งอื่นๆ เพิ่มเติมอีกด้วย

ด้านเมืองไทยสไมล์คลับ ได้มีการปรับรูปแบบของกิจกรรมและสิทธิพิเศษให้ตอบโจทย์ชีวิตวิถีใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม MTL Smile Live ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรม Work Shop ผ่าน Live ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ กิจกรรม Fit From Home เป็นการ Live Class ออกกำลังกาย ที่ให้สมาชิกเข้าร่วม Fit ได้โดยไม่ต้องจองคิว และไม่ต้องกังวลในการรักษาระยะห่าง รวมไปถึงการแลกคะแนนใช้รับส่วนลด Shopping Online กับพันธมิตรที่ร่วมโครงการ นอกจากนี้ ลูกค้าที่ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “MTL Click” พร้อมลงทะเบียนและเพิ่มกรมธรรม์ที่มีอยู่แล้วให้เสร็จสมบูรณ์ จะได้รับสิทธิความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2563 อีกด้วย

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการตอบรับเทรนด์การดูแลสุขภาพรูปแบบใหม่ เมืองไทยประกันชีวิตได้ร่วมกับโรงพยาบาลสมิติเวช มอบสิทธิพิเศษลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตและสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สำหรับการซื้อหรือแลก “TytoCare” นวัตกรรมชุดอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพเบื้องต้น ออกแบบมาให้ทุกคนสามารถใช้งานเองได้ที่บ้าน เพื่อส่งข้อมูลให้แก่คุณหมอที่ให้คำปรึกษาออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เชื่อมต่อการปรึกษาแพทย์ออนไลน์กับ Samitivej Virtual Hospital เหมือนหมอมาตรวจถึงบ้าน

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าทำการตลาดแบบหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นช่องทางตัวแทนประกันชีวิต ช่องทางธนาคาร โบรกเกอร์ รวมไปถึงการขายแบบประกันออนไลน์ ที่มุ่งขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ ผ่านช่องทาง Digital Face to Face เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่มีความสนใจในการทำประกันภัย

นายสาระ กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการปรับตัวสู่ชีวิตวิถีใหม่อย่างแท้จริง เมืองไทยประกันชีวิต ยังมีการปรับกลยุทธ์องค์กร จากการให้พนักงานทำงานที่บ้าน สู่การให้พนักงานสามารถทำงานได้ในทุกสถานที่ พร้อมได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาความรู้สู่การอบรมวิถีใหม่บนออนไลน์แพลตฟอร์ม ผ่าน Live Streaming บนระบบ E-Learning ซึ่งสามารถสื่อสารกับผู้ดำเนินรายการหรือวิทยากรได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังมีการสร้างการเรียนรู้แบบ Self Direct Learning เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ พนักงานและตัวแทนในยุคนี้ ที่เน้นการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา