ส้มโอท่าข่อย จ.พิจิตร ใครได้กินต้องติดใจ ปลูก 7 ไร่ กำเงินรุ่นละแสน

ผมไปเที่ยวที่จังหวัดพิจิตรครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว

สมัยที่คุณสนั่น ขจรประศาสน์ ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าผู้ใดไปเที่ยวจังหวัดพิจิตรมักจะไปที่ฟาร์มเลี้ยงนกกระจอกเทศและหมูป่า

แต่ปัจจุบันทราบมาว่า ฟาร์มที่ว่าได้เลิกกิจการไปแล้ว

ถึงไม่ได้ไปเที่ยวที่ฟาร์มนกกระจอกเทศและหมูป่า แต่พิจิตรก็มีสถานที่ท่องเที่ยวทางเกษตรอื่นอีกหลายแห่ง เช่น สวนมะม่วงน้ำดอกไม้และส้มโอท่าข่อย

เฉพาะส้มโอท่าข่อยอย่างเดียว มีปลูกอยู่เฉพาะที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง

ปีหนึ่งๆ สามารถทำรายได้ให้ผู้ปลูกกว่า 600 ล้านบาททีเดียว

ส้มโอท่าข่อยมีชื่อเสียงมานาน ผมรู้จักมานานแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่เคยกิน แค่รู้จักชื่อเฉยๆ

เพิ่งได้กินส้มโอท่าข่อยก็ตอนไปเที่ยวที่พิจิตรตามที่เกริ่นมาข้างต้น

เหตุที่ได้กินก็เพราะ คุณวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ดูแลรับผิดชอบของจังหวัดพิจิตรได้พาไปกินอาหารตบท้ายด้วยส้มโอท่าข่อยที่ขึ้นชื่อของพิจิตร

ได้กินส้มโอที่ว่านี้แล้วติดใจกันทุกคน เพราะไม่หวานเหมือนน้ำตาลแต่หวานเหมือนส้มที่มีรสเปรี้ยวนิดๆ

เนื้อของส้มโอกลีบใหญ่สีชมพูอ่อนๆ เนื้อแน่นไม่แฉะ เปลือกบางปอกง่ายอีกต่างหาก

หลังจากกินอาหารและตบท้ายด้วยส้มโอท่าข่อยเรียบร้อยแล้ว คนอื่นๆ ผมไม่รู้ แต่สำหรับผมอยากไปเที่ยวสวนส้มโอขึ้นมาทันที ด้วยประสงค์จะลิ้มรสส้มโออีกครั้ง และจะได้ถือโอกาสซื้อสักห้าหกลูกใส่รถกลับบ้าน

แต่มีเวลาไม่พอที่จะไปชมสวนส้มโอท่าข่อยตามตั้งใจ ได้แค่ไปทำความรู้จักกับชาวสวนที่นำส้มโอมาขายอยู่ที่วัดท่าหลวง ซึ่งเป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวมาทำบุญกันมาก

พูดง่ายๆ ก็คือใครไปเที่ยวพิจิตรจะต้องไปที่วัดนี้กันแทบทุกคน

เมื่อมีนักท่องเที่ยวไปที่วัดนี้กันมากก็เป็นธรรมดาจะต้องมีพ่อค้าแม่ค้า นำสินค้ามาขาย ซึ่งมีทั้งของกินของใช้ และผลไม้ที่ขึ้นชื่อของพิจิตรซึ่งมีส้มโอท่าข่อยรวมอยู่ด้วย

พ่อค้าแม่ขายที่นำส้มโอท่าข่อยมาขายมีอยู่หลายเจ้า ถ้าผมจะเข้าไปอุดหนุนซื้อทุกเจ้าก็คงจะได้ส้มโอมากเกินไป เพราะคนขายจะใช้วิธีขายแบบใส่ถุงรวมเป็น 4 ลูก 100 บาท

ผมจึงใช้วิธีเข้าไปซื้อเพียงเจ้าเดียวก็พอ

คนขายเป็นชายหนุ่มชื่อ ศรีไพร รุ่งแสง ส่วนภรรยาชื่อ มณฑา มีนามสกุลเดียวกัน

ผมซื้อที่คนขายปอกใส่จานโฟมไว้มากินดู ถึงคนขายไม่บอกว่าเป็นส้มโออะไร แต่รสชาติบอกให้รู้ว่าต้องเป็นพันธุ์ท่าข่อยแน่ๆ เพราะรสชาติเหมือนกับตอนได้กินที่ร้านอาหาร

ขณะกินส้มโอคนขายบอกให้ผมรู้ว่า พันธุ์ดั้งเดิมของส้มโอท่าข่อยจะไม่มีเมล็ด

ตอนหลังมีชาวสวนนำส้มโอพันธุ์อื่นมาปลูกจึงทำให้กลายพันธุ์ มีเมล็ดติดมาทุกกลีบ แต่ไม่มีปัญหา แค่ใช้นิ้วแกะเมล็ดออกเบาๆ ก็หลุดแล้ว

เมื่อผมถามว่ารับส้มโอมาขายจากสวนที่ไหน

เขาตอบว่า ไม่ได้รับมาจากที่อื่น ส้มโอทุกลูกที่เห็นมาจากสวนของเขาเอง ซึ่งมีอยู่ 7 ไร่

ผมลืมถามไปว่า ไร่หนึ่งๆ ปลูกส้มโอได้กี่ต้น เพียงแต่เขาบอกรวมๆ ให้รู้ว่า

จะได้ผลผลิตส้มโอรุ่นละประมาณ 5,000 กิโลกรัม

ถ้าขายได้กิโลกรัมละ 15 ถึง 20 บาท ก็จะได้เงินเป็นแสน

อันนี้เขาไม่ได้บอก ผมคิดตัวเลขเอาเอง

ได้เงินเป็นแสนหมายถึงส้มโอออกมารุ่นเดียว แต่จริงๆ แล้วปีหนึ่งๆ ส้มโอจะออกลูกได้ถึง 3 รุ่น ก็นับว่ามีรายได้ไม่เลวเลย แปลว่าใช้ได้ เพราะใช้เนื้อที่เพียง 7 ไร่เท่านั้น เป็นการลงทุนไม่มากเพราะที่ดินทำสวนราคายังไม่แพง

ที่ว่านี้หมายถึงเมื่อหลายสิบปีก่อน ก่อนที่เขาจะทำสวนส้มโอ เพราะดินที่พิจิตรเป็นดินที่เหมาะสำหรับปลูกผลไม้หลายชนิดโดยเฉพาะส้มโอ

เขาบอกอีกว่าส้มโอชอบอากาศไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป ถ้าอยู่ใกล้กับแม่น้ำยิ่งดี

ปลูกส้มโอดูแลบำรุงไม่ยากเหมือนปลูกทุเรียน เก็บส้มโอจากต้นมารอได้นานด้วย จึงเหมาะสำหรับส่งไปขายต่างประเทศ

ถึงแม้คนจีนนิยมกินทุเรียนมากกว่าส้มโอ แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่ชอบกินส้มโอ เพราะส้มโอมีน้ำตาลน้อยกินแล้วไม่อ้วน

ปัจจุบันส้มโอมีเท่าไรก็ไม่พอขาย เพราะคนกินมีมากกว่าคนปลูก

ปลูกส้มโอใช้เวลาเพียง 4 ปีก็ออกผล ปีแรกที่ออกผลแต่ละต้นจะมีลูกน้อย แต่พออายุมากขึ้น แต่ละต้นจะมีลูกแข่งกันดก บางต้นต้องใช้ไม้ค้ำไม่ให้กิ่งหัก

คนขายบอกว่า ไม่แน่ใจว่าส้มโอแต่ละต้นจะมีอายุยืนนานกี่ปี เพราะส้มโอที่บ้านญาติ แต่ละต้นมีอายุกว่า 20 ปี แต่ก็ยังขยันออกลูก

ผู้ขายทั้ง 2 คนพูดด้วยความภูมิใจว่า ที่ทำให้ชีวิตครอบครัวของเขาซึ่งมีลูก 2 คน มีกินมีใช้และมีความสุขได้ก็เพราะทำสวนส้มโอนี้แหละ คงไม่เปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นอีก

ผู้อ่านและไม่ได้อ่านท่านใด ถ้าไปเที่ยวพิจิตรแล้วอยากไปชมสวนและซื้อส้มโอท่าข่อยของแท้ให้ไปซื้อได้ที่ บ้านเลขที่ 4 หมู่ 7 ตำบลโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร โทรศัพท์ (085) 060-2106