ผู้เขียน | ไมตรี ลิมปิชาติ |
---|---|
เผยแพร่ |
ผมไปเที่ยวที่จังหวัดพิจิตรครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว
สมัยที่คุณสนั่น ขจรประศาสน์ ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าผู้ใดไปเที่ยวจังหวัดพิจิตรมักจะไปที่ฟาร์มเลี้ยงนกกระจอกเทศและหมูป่า
แต่ปัจจุบันทราบมาว่า ฟาร์มที่ว่าได้เลิกกิจการไปแล้ว
ถึงไม่ได้ไปเที่ยวที่ฟาร์มนกกระจอกเทศและหมูป่า แต่พิจิตรก็มีสถานที่ท่องเที่ยวทางเกษตรอื่นอีกหลายแห่ง เช่น สวนมะม่วงน้ำดอกไม้และส้มโอท่าข่อย
เฉพาะส้มโอท่าข่อยอย่างเดียว มีปลูกอยู่เฉพาะที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง
ปีหนึ่งๆ สามารถทำรายได้ให้ผู้ปลูกกว่า 600 ล้านบาททีเดียว
ส้มโอท่าข่อยมีชื่อเสียงมานาน ผมรู้จักมานานแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่เคยกิน แค่รู้จักชื่อเฉยๆ
เพิ่งได้กินส้มโอท่าข่อยก็ตอนไปเที่ยวที่พิจิตรตามที่เกริ่นมาข้างต้น
เหตุที่ได้กินก็เพราะ คุณวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ดูแลรับผิดชอบของจังหวัดพิจิตรได้พาไปกินอาหารตบท้ายด้วยส้มโอท่าข่อยที่ขึ้นชื่อของพิจิตร
ได้กินส้มโอที่ว่านี้แล้วติดใจกันทุกคน เพราะไม่หวานเหมือนน้ำตาลแต่หวานเหมือนส้มที่มีรสเปรี้ยวนิดๆ
เนื้อของส้มโอกลีบใหญ่สีชมพูอ่อนๆ เนื้อแน่นไม่แฉะ เปลือกบางปอกง่ายอีกต่างหาก
หลังจากกินอาหารและตบท้ายด้วยส้มโอท่าข่อยเรียบร้อยแล้ว คนอื่นๆ ผมไม่รู้ แต่สำหรับผมอยากไปเที่ยวสวนส้มโอขึ้นมาทันที ด้วยประสงค์จะลิ้มรสส้มโออีกครั้ง และจะได้ถือโอกาสซื้อสักห้าหกลูกใส่รถกลับบ้าน
แต่มีเวลาไม่พอที่จะไปชมสวนส้มโอท่าข่อยตามตั้งใจ ได้แค่ไปทำความรู้จักกับชาวสวนที่นำส้มโอมาขายอยู่ที่วัดท่าหลวง ซึ่งเป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวมาทำบุญกันมาก
พูดง่ายๆ ก็คือใครไปเที่ยวพิจิตรจะต้องไปที่วัดนี้กันแทบทุกคน
เมื่อมีนักท่องเที่ยวไปที่วัดนี้กันมากก็เป็นธรรมดาจะต้องมีพ่อค้าแม่ค้า นำสินค้ามาขาย ซึ่งมีทั้งของกินของใช้ และผลไม้ที่ขึ้นชื่อของพิจิตรซึ่งมีส้มโอท่าข่อยรวมอยู่ด้วย
พ่อค้าแม่ขายที่นำส้มโอท่าข่อยมาขายมีอยู่หลายเจ้า ถ้าผมจะเข้าไปอุดหนุนซื้อทุกเจ้าก็คงจะได้ส้มโอมากเกินไป เพราะคนขายจะใช้วิธีขายแบบใส่ถุงรวมเป็น 4 ลูก 100 บาท
ผมจึงใช้วิธีเข้าไปซื้อเพียงเจ้าเดียวก็พอ
คนขายเป็นชายหนุ่มชื่อ ศรีไพร รุ่งแสง ส่วนภรรยาชื่อ มณฑา มีนามสกุลเดียวกัน
ผมซื้อที่คนขายปอกใส่จานโฟมไว้มากินดู ถึงคนขายไม่บอกว่าเป็นส้มโออะไร แต่รสชาติบอกให้รู้ว่าต้องเป็นพันธุ์ท่าข่อยแน่ๆ เพราะรสชาติเหมือนกับตอนได้กินที่ร้านอาหาร
ขณะกินส้มโอคนขายบอกให้ผมรู้ว่า พันธุ์ดั้งเดิมของส้มโอท่าข่อยจะไม่มีเมล็ด
ตอนหลังมีชาวสวนนำส้มโอพันธุ์อื่นมาปลูกจึงทำให้กลายพันธุ์ มีเมล็ดติดมาทุกกลีบ แต่ไม่มีปัญหา แค่ใช้นิ้วแกะเมล็ดออกเบาๆ ก็หลุดแล้ว
เมื่อผมถามว่ารับส้มโอมาขายจากสวนที่ไหน
เขาตอบว่า ไม่ได้รับมาจากที่อื่น ส้มโอทุกลูกที่เห็นมาจากสวนของเขาเอง ซึ่งมีอยู่ 7 ไร่
ผมลืมถามไปว่า ไร่หนึ่งๆ ปลูกส้มโอได้กี่ต้น เพียงแต่เขาบอกรวมๆ ให้รู้ว่า
จะได้ผลผลิตส้มโอรุ่นละประมาณ 5,000 กิโลกรัม
ถ้าขายได้กิโลกรัมละ 15 ถึง 20 บาท ก็จะได้เงินเป็นแสน
อันนี้เขาไม่ได้บอก ผมคิดตัวเลขเอาเอง
ได้เงินเป็นแสนหมายถึงส้มโอออกมารุ่นเดียว แต่จริงๆ แล้วปีหนึ่งๆ ส้มโอจะออกลูกได้ถึง 3 รุ่น ก็นับว่ามีรายได้ไม่เลวเลย แปลว่าใช้ได้ เพราะใช้เนื้อที่เพียง 7 ไร่เท่านั้น เป็นการลงทุนไม่มากเพราะที่ดินทำสวนราคายังไม่แพง
ที่ว่านี้หมายถึงเมื่อหลายสิบปีก่อน ก่อนที่เขาจะทำสวนส้มโอ เพราะดินที่พิจิตรเป็นดินที่เหมาะสำหรับปลูกผลไม้หลายชนิดโดยเฉพาะส้มโอ
เขาบอกอีกว่าส้มโอชอบอากาศไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป ถ้าอยู่ใกล้กับแม่น้ำยิ่งดี
ปลูกส้มโอดูแลบำรุงไม่ยากเหมือนปลูกทุเรียน เก็บส้มโอจากต้นมารอได้นานด้วย จึงเหมาะสำหรับส่งไปขายต่างประเทศ
ถึงแม้คนจีนนิยมกินทุเรียนมากกว่าส้มโอ แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่ชอบกินส้มโอ เพราะส้มโอมีน้ำตาลน้อยกินแล้วไม่อ้วน
ปัจจุบันส้มโอมีเท่าไรก็ไม่พอขาย เพราะคนกินมีมากกว่าคนปลูก
ปลูกส้มโอใช้เวลาเพียง 4 ปีก็ออกผล ปีแรกที่ออกผลแต่ละต้นจะมีลูกน้อย แต่พออายุมากขึ้น แต่ละต้นจะมีลูกแข่งกันดก บางต้นต้องใช้ไม้ค้ำไม่ให้กิ่งหัก
คนขายบอกว่า ไม่แน่ใจว่าส้มโอแต่ละต้นจะมีอายุยืนนานกี่ปี เพราะส้มโอที่บ้านญาติ แต่ละต้นมีอายุกว่า 20 ปี แต่ก็ยังขยันออกลูก
ผู้ขายทั้ง 2 คนพูดด้วยความภูมิใจว่า ที่ทำให้ชีวิตครอบครัวของเขาซึ่งมีลูก 2 คน มีกินมีใช้และมีความสุขได้ก็เพราะทำสวนส้มโอนี้แหละ คงไม่เปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นอีก
ผู้อ่านและไม่ได้อ่านท่านใด ถ้าไปเที่ยวพิจิตรแล้วอยากไปชมสวนและซื้อส้มโอท่าข่อยของแท้ให้ไปซื้อได้ที่ บ้านเลขที่ 4 หมู่ 7 ตำบลโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร โทรศัพท์ (085) 060-2106