เผยแพร่ |
---|
นพ.มานัสกล่าวว่า การจัดโครงการเดิน-วิ่งการกุศล ราชวิถีมินิมาราธอน 2018 เพื่อก่อสร้างศูนย์ส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร รพ.ราชวิถี และการจัดหาครุภัณฑ์ ซึ่งในงานนี้ได้รับเกียรติจากคุณตูน ซึ่งถือว่าเป็นไอดอลและสัญลักษณ์ของการออกกำลังกายมาร่วมวิ่งภายในงานด้วย เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัว สร้างเสริมสุขภาพด้วยการออกกำลังกายด้วย สำหรับการก่อสร้างศูนย์ส่องกล้องฯ และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ต้องใช้งบประมาณราว 200 กว่าล้านบาท โดยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จะเน้นในการจัดหาคือ กล้องที่ใช้ในการส่องตามระบบทางเดินอาหารต่างๆ ตั้งแต่หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ ไปจนถึงการส่องกล้องทางทวาร ซึ่งก็มีความจำเป็นที่จะต้องลงทุน สำหรับกิจกรรมในวันนี้ เท่าที่ทราบมีรายได้เกินขึ้นประมาณ 7-8 ล้านบาท ส่วนจำนวนผู้เข้าร่วมวิ่งนั้น ตามกำหนดคือประมาณ 5,000 คน แต่เท่าที่มีผู้ติดต่อเข้ามาหลังปิดรับสมัครประมาณ 6,000 คน แต่จำนวนที่มาวิ่งจริงนั้น คงต้องรอเช็กตัวเลขอีกครั้งหนึ่ง
นพ.มานัสกล่าวว่า ศูนย์ส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร ถือเป็นศูนย์ความเป็นเลิศ 1 ใน 8 สาขา ที่เปิดให้บริการในอาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี ซึ่งเป็นอาคารใหม่ในการรองรับผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน โดยคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ส่วนหนึ่งภายในปี 2561 โดยเฉพาะส่วนของผู้ป่วยใน แต่ส่วนของศูนย์ส่องกล้องฯ คาดว่ายังต้องใช้เวลา ส่วนประชาชนที่สนใจในการร่วมสมทบทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่ศูนย์ส่องกล้องฯ ก็ยังมีอีกหลายช่องทางในการบริจาค เช่น เว็บไซต์โรงพยาบาลราชวิถี www.rajavithi.go.th/ มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี และในเร็วๆ นี้จะมีการรับบริจาคผ่านแอพพลิเคชั่นในการบริจาคแบบออนไลน์ หรือเข้ามาติดต่อด้วยตนเองที่โรงพยาบาลก็ได้
“คุณตูนมีความตั้งใจและเป็นผู้ที่มีความเชื่อมโยงเรื่องการออกกำลังกายกับการหาทุนให้โรงพยาบาล เชิญชวนให้ประชาชนออกกำลังกาย สุขภาพแข็งแรงดีกว่าการเข้าโรงพยาบาล ถือเป็นประเด็นสำคัญที่คุณตูนเชิญชวนพวกเรา ซึ่งยืนยันว่าการออกกำลังกายทำให้ร่างกายเราแข็งแรง และไม่จำเป็นต้องมาพึ่งพาการรักษา เป็นการสร้างเสริมสุขภาพ สร้างนำซ่อมตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข” นพ.มานัสกล่าว
นายอาทิวราห์กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและขอบคุณผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลราชวิถีที่ให้เกียรติตนเป็นหนึ่งในนักวิ่งรายการนี้ ซึ่งก็ดีใจและมีความสุขที่จะได้มาวิ่งร่วมกับทุกคนในวันนี้ ทั้งนี้ หลายคนเวลาเจอตนมักจะทักว่า เอาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกาย เพราะอาจเห็นว่าตนมีกิจกรรมเยอะ ซึ่งอยากจะบอกว่า ถ้าทุกคนคิดว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราให้ค่า ให้ความสำคัญกับมัน ทุกคนก็จะมีเวลากับมัน และเราจะรักตัวเอง เคารพตัวเอง ที่เราลุกออกมาทำ ออกมาดูแลสุขภาพตัวเอง ถ้าร่างกายตัวเองเราไม่ดูแล แล้วใครจะดูแล เราอย่าไปหวังพึ่งให้โรงพยาบาลดูแลอย่างเดียว เราต้องดูแลสุขภาพตนเองด้วย ส่วนที่จะมีการวิ่งระดมทุนอีกหรือไม่นั้น ถ้าทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ก็อยากทำ แต่ต้องดูรูปแบบและจังหวะของชีวิตด้วย สิ่งสำคัญที่มากกว่าเงินบริจาค คือเห็นทุกคนมาออกกำลังกายและดูแลสุขภาพเบื้องต้นแบบนี้ถือว่าสำคัญกว่าเงินมาก
ที่มา มติชนออนไลน์