“ไม่อยากให้ถึงวันนั้น” ความในใจไทยทั้งแผ่นดิน

“ตอนเดินผ่านพระเมรุมาศที่ท้องสนามหลวงก็คิดว่าสวยงามมาก แต่ยังรู้สึกใจหาย ไม่อยากให้ถึงวันนั้น อยากให้พระองค์อยู่กับเราไปนานๆ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ป้ารักในหลวงรัชกาลที่ 9 มาก พระองค์ทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชน”

ความในใจของ น.ส.เลี่ยม มาลี อายุ 65 ปี ชาวอำเภอท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ที่เหมือนกับความรู้สึกในใจของพสกนิกรไทยทั่วทั้งแผ่นดิน ที่ “ไม่อยากให้วันนั้นมาถึง” วันที่ต้องกราบถวายบังคมลาเป็นครั้งสุดท้ายในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 26 ตุลาคม 2560

หลังทราบข่าวใกล้ถึงวันปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ป้าเลี่ยมเดินทางออกจากบ้านพร้อมกับญาติและคนในชุมชนรวม 10 คนโดยรถตู้ออกจาก จ.กาญจนบุรี ตอนเที่ยงคืน มาถึงสนามหลวงตอนตี 2 ก่อนได้ขึ้นกราบถวายบังคมพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในเวลา 9 โมงเช้า

แม้จะอายุมากและร่างกายไม่ค่อยดีแล้ว แต่ป้าเลี่ยมบอกว่าอยากจะมา แม้จะต้องรอนานถึง 7 ชั่วโมง แต่รู้สึกว่าไม่นานและไม่เหนื่อยเลย

“เห็นคนมากันเยอะก็ปลื้มใจที่มีพสกนิกรมากมายจงรักภักดีต่อพระองค์ ป้าเพิ่งมาเป็นครั้งแรก อยากมาตั้งนานแล้ว ซื้อเสื้อผ้าเตรียมไว้แต่ยังไม่มีโอกาสได้มา ก็คิดว่าจะซื้อเสื้อผ้ามาเก้อแล้ว โชคดีที่ได้มาก่อน

ในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพคงไม่มีโอกาสได้มา แต่ที่วัดในชุมชน มีพระเมรุมาศจำลองให้ประชาชนร่วมถวายดอกไม้จันทน์ ป้าก็ไปเป็นจิตอาสาทำดอกไม้จันทน์ด้วย”

ด้าน นายคณาธิป เอกมอญ อายุ 57 ปี ชาว จ.นนทบุรี กล่าวว่า รู้สึกปลื้มปีติที่ได้มา เพราะเราได้มากราบท่านในวาระสุดท้าย ถือเป็นการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงหาโอกาสมาอีกครั้ง แม้จะรอนานถึง 6 ชั่วโมง แต่ถือว่าคุ้มค่า ในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตั้งใจว่าจะมา แต่คงเข้าไม่ถึงด้านใน คิดแค่ว่าขอให้ได้มาร่วมชมพระราชพิธีก็ยังดี ถือเป็นบุญของเรา

“ผมรักพระองค์ เพราะทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำไว้ทรงเปรียบเสมือนพ่อของแผ่นดินและของชาวไทยทุกคน ตอนที่เห็นพระเมรุมาศก็รู้สึกขนลุก ถึงจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์คิดว่าคงสวยงามสมพระเกียรติ แต่อีกด้านก็รู้สึกใจหายที่ต่อไปพระองค์จะเป็นแค่ภาพความทรงจำว่าชีวิตนี้เราได้อยู่ในรัชสมัยที่พระองค์ทรงครองราชย์ ผมจะเดินตามรอยพระยุคลบาทด้วยการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง” นายคณาธิป กล่าว

ขณะที่ นายธชต อินสูงเนิน อายุ 40 ปี อาชีพค้าขาย เดินทางมาจาก อ.เมือง จ.นครราชสีมา พร้อมด้วยภรรยา นางชญาภา วัย 43 ปี บอกเล่าความตั้งใจว่าจะเดินทางมากราบพระบรมศพนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส นั่งรถโดยสารประจำทางออกจากนครราชสีมาเวลา 00.40 น. มาถึงบริเวณสนามหลวงเวลา 04.00 น. ในเวลานั้นคนก็มารอต่อแถวกันมากแล้ว แต่ด้วยความตั้งใจที่จะมากราบพระบรมศพให้ได้สักครั้ง จึงไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ กระทั่งได้เข้ากราบพระบรมศพราว 12.30 น.

“ผมเคยเป็นทหารเรือและมีโอกาสพายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ถวายในหลวง ร.9 เมื่อปี พ.ศ.2542 ในการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามฯ เป็นครั้งเดียวที่มีโอกาสชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด จึงตั้งใจมากราบสักการะพร้อมตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์เสด็จไป ณ ที่ที่มีแต่ความสุข และขอพรให้พระองค์ท่านคุ้มครองให้บ้านเมืองสงบสุข” นายธชต กล่าว

นางสายพิน ฉิมสุข อายุ 53 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ เดินทางมาพร้อม คุณพ่อชุบ พุ่มผกา อายุ 83 ปี เผยว่ามาเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งแรกที่มาก็ป่วย แต่คิดว่าอย่างไรก็ต้องมาให้ได้ คุณพ่อเพิ่งมาเป็นครั้งแรก รู้สึกประทับใจมากที่ครั้งหนึ่งในชีวิตมีโอกาสได้มา ยังไม่แน่ใจว่าวันถวายพระเพลิงพระบรมศพจะมีโอกาสได้มาหรือไม่ แต่คิดไว้ว่าถ้ามีบุญวาสนาคงจะได้มาร่วมแสดงความอาลัย “ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นแบบอย่างที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิต พระองค์ทรงทำทุกอย่างให้พวกเราทุกคนและไม่เคยทิ้งคนไทย ตั้งปณิธานว่าชีวิตที่เหลืออยู่จะทำความดีเพื่อพระองค์ให้ได้มากที่สุด

อยากแลกชีวิตของดิฉันไปแทนพระองค์ แต่ก็ทำไม่ได้ ไม่อยากให้มีวันนี้เลย ไม่อยากให้มีวันที่พ่อหลวงจากเราไป ดิฉันเคยคิดว่าอยากให้ตัวเองตายก่อน จะได้ไม่ต้องมีความรู้สึกแบบนี้ ตอนเดินผ่าน พระเมรุมาศที่ท้องสนามหลวงก็รู้สึกใจหาย แม้จะมีคุณค่าความสวยงามขนาดไหน แต่คงไม่มีอะไรเทียบเท่ากับคุณค่าของการมีพระองค์อยู่กับพวกเรา” นางสายพิน กล่าว