เผยแพร่ |
---|
วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นวันเลือกตั้งของประเทศไทย และรู้ว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศนั้นคือใคร วันนี้ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ จะพาทุกคนไปส่อง นโยบายที่เกี่ยวข้องกับ SMEs และพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยของแต่ละพรรคการเมืองนั้น มีทิศทางอย่างไร
เพิ่มรายได้ประเทศไทยปีละ 4 ล้านล้านบาท
• เศรษฐกิจโตปีละ 5%
• รายได้ต่อคนเพิ่มขึ้นปีละ 20,000 บาท
• สร้างงานเพิ่ม 6.25 แสนตำแหน่ง
- เศรษฐกิจฐานราก กระจายรายได้ กระจายโอกาสด้วยการท่องเที่ยวชุมชน ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้ สร้างเส้นทางเชื่อมโยงชุมชนสู่ชุมชน
- เศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างสรรค์สินค้าและโอกาสทางธุรกิจด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ
- SMEs, Startup และ Social Enterprise สามารถเริ่มธุรกิจได้รวดเร็ว
SME ต้องมีแต้มต่อ 3 แสนล้าน
“SMEs” ถือเป็นจักรกลสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ครอบคลุมหลากหลายธุรกิจ เช่น ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น จากข้อมูลในปี 2565 พบว่า มีจํานวนผู้ประกอบการ SMEs ประมาณ 3.2 ล้านราย ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 12.6 ล้านคน โดยมีมูลค่าส่งออกกว่า 1 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.6 ของยอดการส่งออกรวมตลอดปี
นโยบาย “SME ต้องมีแต้มต่อ 3 แสนล้าน” จึงต้องการยกระดับ ขีดความสามารถของ SMEs ไทยให้สามารถแข่งขันทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ ตลอดจน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ทั้งนี้ จะดําเนินมาตรการเพื่อเป็นแต้มต่อให้กับ SMEs 3 ประการ คือ
- แต้มต่อที่ 1 ด้านการผลิต สนับสนุนให้ SMEs มีการบริหารธุรกิจที่ทันสมัย บนพื้นฐานของนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการดําเนินธุรกิจ สร้างการยอมรับของตลาด และมุ่งปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคระบบเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Transformation)
- แต้มต่อที่ 2 ด้านการตลาด ผลักดัน SMEs ให้มีโอกาสเข้าสู่ตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ โดยให้สิทธิพิเศษด้านการตลาดในนิทรรศการที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของตนต่อตลาดภายนอกได้
- แต้มต่อที่ 3 จัดตั้งกองทุน 3 แสนล้านบาท เพื่อให้กลุ่ม SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งทุน
นโยบายสร้างประเทศด้วยนวัตกรรมและดิจิทัลผ่านเขตธุรกิจใหม่ (New Business Zone)
เขตเศรษฐกิจพิเศษและสิทธิประโยชน์ในการลงทุนที่รัฐบาลปัจจุบันได้ทำมา เป็นแค่คำพูดการตลาดที่จับต้องไม่ได้ และปัญหาหลักของประเทศไม่ได้ถูกแก้ไข การแก้กฎหมายช้าและทำไม่ได้จริง แต่พรรคเพื่อไทยจะเปลี่ยนทั้งหมดให้เป็น “โอกาสด้วยกุญแจ 3 ดอก ด้วยการสร้างเขตธุรกิจใหม่” เพื่อ “ดึงเงินนอก ปลุกเงินใน เปลี่ยนเงินที่หลับใหล เป็นเงินที่สร้างเงิน”
สร้างเขตธุรกิจใหม่ 4 แห่งเป็นพื้นที่นำร่อง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ ด้วยความพร้อมทางด้านมหาวิทยาลัย สนามบิน และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเพื่อขับเคลื่อน Startups และ SMEs สู่การสร้างรายได้ใหม่ให้แก่ประชาชน ด้วยกุญแจ 3 ดอก ดังนี้
- กุญแจดอกที่ 1 “กฎหมายธุรกิจชุดใหม่” เพื่อเป็นการปลดล็อกปัญหาการทำธุรกิจของ Startups และ SMEs ในทุกมิติรวมถึงดึงเงินนักลงทุนจากต่างชาติ เข้าแก้ไขปัญหาด้านใบอนุญาตต่างๆ ปัญหาแรงงาน การนำเข้าส่งออก และการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
- กุญแจดอกที่ 2 “สิทธิประโยชน์ใหม่” ให้สิทธิในการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีนำเข้า จะไม่แพ้ที่ใดในโลก
- กุญแจดอกที่ 3 “ระบบนิเวศทางธุรกิจใหม่” โดยการสร้างสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ระบบการศึกษาและการผลิตคนทำงานใหม่ ระบบธนาคารใหม่ เพื่อผลักดันให้ภาคเอกชนขับเคลื่อนได้
นโยบายยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล SMEs ที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 เป็นเวลา 3 ปี
เพื่อเป็นการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ SMEs ไทย ประกอบกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา SMEs ไทย ต้องประสบกับปัญหาจากผลกระทบอย่างหนักของเศรษฐกิจถดถอยอันเป็นผลมาจากโควิด-19 จึงเห็นสมควรที่จะออกมาตรการมาช่วยเหลือ SMEs โดยให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล SMEs เป็นเวลา 3 ปี
ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รายได้สุทธิไม่เกิน 3 แสนบาท/ต่อปี ไม่ต้องเสียภาษี
ปัญหาของคนไทยในวัยหนุ่มสาวที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วัยทำงานจะคล้ายๆ กัน มีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแลตนเองและครอบครัว ภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแลพ่อแม่ ค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับหมดไปกับการกินอยู่หลับนอน และค่าเดินทาง ในขณะที่รายได้ยังคงเท่าเดิม สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในชีวิตก็คือหนี้สินพร้อมดอกเบี้ยที่ใช้คืนเท่าไหร่ก็ไม่หมด
พรรคไทยสร้างไทย จึงมีนโยบายที่จะเสนอให้มีการออกกฎหมายมาลดภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของคนที่อยู่ในวัยทำงานกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มคนไทยประมาณ 2 ล้านคน ที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวมีรายได้ประมาณ 30,000-40,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนส่วนบุคคลต่างๆ ในตอนที่ยื่นแบบเสียภาษีแล้ว จะมีเงินได้สุทธิทั้งปีอยู่ประมาณ 260,000-300,000 บาท ซึ่งปัจจุบันสำหรับผู้ที่มีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่แล้ว แต่คนกลุ่มนี้ยังต้องเสียภาษีจากรายได้ในส่วนที่เกิน 150,000 บาท จะต้องนำเงินได้สุทธิเฉพาะส่วนที่เกิน 150,001 บาท ไปคำนวณตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
นโยบายของพรรคก็คือการเสนอให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้สุทธิเฉพาะส่วนที่อยู่ในช่วง 150,001 บาท แต่ไม่เกิน 300,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น ซึ่งเดิมผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 คิดเป็นเงินภาษีเท่ากับ 7,500 บาท ที่จะได้รับการยกเว้นการเก็บภาษี
ลดรายจ่าย SMEs : บรรเทาผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
- รัฐช่วยสมทบค่าประกันสังคมในส่วนของผู้ว่าจ้าง สำหรับแรงงานที่ถูกกระทบโดยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (6 เดือนแรก)
- เปิดให้ SMEs นำค่าแรงมาหักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ 2 เท่า (2 ปีแรก)
ลดรายจ่าย SMEs : ลดภาษีนิติบุคคล SME ให้เหลือ 0-15%
- ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล SMEs ให้เหลือ 0-15%
- ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ SMEs (ช่วงกำไร 3 แสนบาท ถึง 3 ล้านบาท) จาก 15% เป็น 10%
- ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ SMEs (ช่วงกำไร 3 ล้านบาท ถึง 30 ล้านบาท) จาก 20% เป็น 15%
- เพิ่มอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับทุนใหญ่ (ช่วงกำไรเกิน 300 ล้านบาท) จาก 20% เป็น 23%
ลดรายจ่าย SMEs : หักค่าใช้จ่ายเหมาภาษี เพิ่มจาก 60% เป็น 90%
- เปิดให้ SMEs หักค่าใช้จ่ายเหมาภาษีบุคคลได้เพิ่มเป็น 90% (จากเดิม 60%)
เพิ่มแต้มต่อให้ SMEs : หวยใบเสร็จ ซื้อของร้านค้ารายย่อย ทั้งคนซื้อคนขายได้หวย ลุ้นรวยเงินล้าน
- เพิ่มลูกค้าให้ SMEs โดยการเพิ่มแรงจูงใจให้ประชาชนที่เลือกซื้อสินค้า SMEs ได้รับแถมสลากกินแบ่งของรัฐบาลไปลุ้นรางวัล
- สำหรับคนซื้อ หรือประชาชนทั่วไป : เมื่อซื้อสินค้าจาก SMEs ครบ 500 บาท สามารถแลกสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ 1 ใบ (จำกัดไม่เกิน 2 ใบ/คน/เดือน และจำนวน 10 ล้านคน/เดือน)
- เพิ่มโอกาสลุ้นหวยให้ SMEs โดยการนำยอดขายมาแลกเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ด้วย
- สำหรับคนขาย หรือผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการ : เมื่อขายสินค้าครบ 5,000 บาท สามารถแลกสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ 1 ใบ
เพิ่มแต้มต่อให้ SMEs : ลดหย่อนภาษีให้ธุรกิจที่ซื้อจาก SMEs
- เปิดให้นิติบุคคลที่ซื้อสินค้าจาก SMEs เพิ่มขึ้นจากปีก่อน สามารถหักภาษีนิติบุคคลได้ 1.5 เท่าในส่วนที่ซื้อจาก SMEs เพิ่มเติม
- ส่งเสริมให้ธุรกิจซื้อสินค้าและบริการจาก SMEs มากขึ้น รวมถึงเลือก Outsource บริการไปที่ SMEs
- ป้องกันไม่ให้กลุ่มทุนใหญ่ขยายกิจการกินรวบทั้งห่วงโซ่อุปทาน
เติมตลาดให้ SMEs : โควตาชั้นวางสำหรับสินค้า SMEs ในห้างใหญ่
- กำหนดสัดส่วนชั้นวางสำหรับสินค้า SMEs ในห้างสมัยใหม่ (เช่น ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ) เพื่อเปิดโอกาสให้สินค้า SMEs ได้มีโอกาสมาวางขาย และช่วยให้สินค้า SMEs มีโอกาสเข้าถึงตลาดใหญ่ได้เร็วขึ้น
เติมตลาดให้ SMEs : คูปองแลกซื้อสินค้าท้องถิ่น
- ให้ประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีเครดิต (จำกัดไม่เกิน 1,000 บาทต่อปี) สำหรับการแลกซื้อสินค้าท้องถิ่น วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์เกษตร ในราคาครึ่งหนึ่ง (โดยรัฐสมทบอีกครึ่ง) เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาเลือกซื้อ-สนับสนุนสินค้าเหล่านี้ให้เติบโตต่อไป