5 เทรนด์อีคอมเมิร์ซมาแรง ผู้ประกอบการ ต้องอัปเดตให้ทันโลก ทันลูกค้า

เปิด 5 เทรนด์อีคอมเมิร์ซมาแรง ผู้ประกอบการ ต้องอัปเดตให้ทันโลก ทันลูกค้า

แม้การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะคลี่คลายลง และการจับจ่ายในแบบออฟไลน์จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น แต่ประตูของโลกออนไลน์ยังคงเปิดกว้างรอให้คนเข้ามาช่วงชิงกันอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่า การจะยืนหนึ่งในสังเวียนนี้ได้ หนีไม่พ้นการอัปเดตให้ทันโลก ทันพฤติกรรมลูกค้า เว็บไซต์ Post Family ได้เปิด 5 เทรนด์อีคอมเมิร์ซที่สุดแห่งปี 2023 ที่คนค้าขายออนไลน์ต้องจับตา

1. AR / VR เทรนด์เสมือนจริง ที่สุดแห่งตัวช่วยปิดการขาย!

ได้รับการยอมรับจากลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ กับการช้อปปิ้งที่มีการใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงอย่าง AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) เข้ามาเป็นตัวชูโรง โดยลูกค้า 71% ถึงกับเอ่ยว่าจะซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ใช้ VR มากขึ้น เพราะการที่ให้ลูกค้าได้ “ลอง ดู เห็น และมีประสบการณ์” แบบ 3 มิติ หรือเสมือนจริงก่อนซื้อนั้น สามารถช่วยเพิ่ม Conversion หรือปิดการขายได้มากถึง 40% เรียกได้ว่าเป็น Game Changer แห่งวงการอีคอมเมิร์ซแห่งปี

ปัจจุบันมีหลายแบรนด์ที่หยิบเอาเทคโนโลยีนี้มาเรียกเสียงฮือฮาในตลาด เช่น L’Oreal Paris ที่ให้ลูกค้าทดลองเครื่องสำอางกว่า 100 เฉดสี รวมถึงสีย้อมผมแบบเสมือนจริง ผ่านการใช้กล้องโทรศัพท์หรือกล้องคอมพิวเตอร์ เพื่อหาสีที่ใช่ที่สุดสำหรับตัวเอง

Tip : พ่อค้าแม่ค้าสามารถนำเทรนด์นี้มาใช้เรียกลูกค้าเข้าร้านได้ ด้วยการ

  • เพิ่มรายการสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถดูได้แบบ 360° หรือเสมือนจริงบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
  • มีฟีเจอร์ “Try-on” ให้ลูกค้าสามารถลองสินค้า เช่น สวมแว่นตา เสื้อผ้า เปลี่ยนสีผม ลิปสติก หรือบลัชออน ได้โดยใช้กล้องในโทรศัพท์

2. GREEN COMMERCE เทรนด์สีเขียวเหนี่ยวทรัพย์ แรงต่อเนื่องที่สุด!

เมื่อกระแสความกรีนปกคลุมไปทุกหย่อมหญ้า จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกค้าจะหันมาซื้อและใส่ใจสินค้าที่รักษ์โลกและเน้นเรื่องของความยั่งยืนเป็นอันดับแรกๆ แถมยังยอมควักกระเป๋าจ่ายมากขึ้นอีกด้วย โดยหนึ่งเทรนด์ที่จะแรงอย่างสุดขีดคือ Recommerce หรือการซื้อและขายของมือสอง ของใหม่ที่อยากจะขายต่อ หรือของใช้แล้วบนออนไลน์นั่นเอง

ยกตัวอย่าง Lululemon แบรนด์ชุดออกกำลังกายในสหรัฐอเมริกาที่ลุกขึ้นมาเปิดตัวเว็บไซต์ “Like New” เพื่อให้ลูกค้าได้ช้อปสินค้ามือสองและขายของต่อโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังให้ลูกค้านำเลกกิ้ง เสื้อ และแจ๊กเก็ตที่ใช้แล้วมาแลกคืน เปลี่ยนเป็นบัตรของขวัญที่ทางร้านได้อีกด้วย

Tip : การที่จะหยิบเทรนด์สีเขียวนี้มาใช้นั้น สามารถเริ่มต้นได้จากเรื่องง่ายๆ เช่น

  • หันมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ลดการใช้แพ็กเกจจิ้ง หรือเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก
  • นำกล่องไปรษณีย์ใช้แล้วที่ยังมีสภาพดีมากลับกล่องใช้ซ้ำ เพื่อส่งสินค้าใหม่อีกครั้ง
  • เพิ่มกลยุทธ์รับคืนสินค้า/แพ็กเกจจิ้งที่ใช้แล้ว แลกกับการให้ส่วนลดหรือสินค้าตัวอย่างแก่ลูกค้า

3. GROUP SOLUTION เทรนด์ซื้อ-ส่งแบบเหมาๆ ที่สุดแห่งความคุ้มค่า!

อีกหนึ่งเทรนด์ที่จะเห็นบรรดาแพลตฟอร์มและร้านค้าต่างๆ ทำการแข่งขันกันมากขึ้นคือ Group Buying หรือการขายที่ให้ลูกค้าสามารถรวมกลุ่มกันมาซื้อสินค้าจำนวนมากในราคาที่ถูกกว่า ซึ่งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและมาร์เก็ตเพลสหลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Lazada, Shopee หรือ Tokopedia ได้หยิบมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการช้อปให้กับลูกค้า

รวมถึง Group Sending การจัดส่งสินค้าที่ลูกค้าแต่ละรายสามารถเลือกให้ทำการจัดส่งได้แบบรายสัปดาห์ แทนการจัดส่งใน 1-2 วันถัดไป โดยทางร้านจะทำการรวบรวมสินค้าทั้งหมดที่ลูกค้าคนนั้นๆ สั่งซื้อแล้วส่งให้ในคราวเดียว เพื่อประหยัดบรรจุภัณฑ์และต้นทุนในการขนส่ง เช่น Amazon ที่เพิ่มบริการ Amazon Day Delivery ให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิก Prime สามารถเลือกได้ว่าจะให้ทำการจัดส่งสินค้าที่สั่งซื้อทั้งหมดในอาทิตย์ที่ผ่านมาไปพร้อมกันทีเดียวในวันไหน หรือจะให้ส่งของทุกวันไหนในแต่ละสัปดาห์ เป็นต้น

Tip : หากไม่อยากตกเทรนด์นี้ สิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรทำ คือ

  • ส่วนลดหรือโปรโมชันของการขายแบบ Group Buying ต้องน่าดึงดูดใจ เช่น รวมกันแค่ 2 คนก็ซื้อได้ถูกกว่าถึง 50% และสามารถเคลียร์สินค้าในสต๊อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • กำหนดจำนวนสินค้าที่จะขายแบบกลุ่มให้ชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาการมีสินค้าไม่เพียงพอ
  • ระบุข้อกำหนดในการจัดส่งแบบทีเดียวให้ชัดเจน เช่น ลูกค้าต้องทำการยืนยันสินค้าที่สั่งซื้อทั้งหมดก่อนกี่วันของการจัดส่งแบบรายสัปดาห์ เป็นต้น

4. AI MOOD-TRACKING จับทุกอารมณ์ลูกค้า ที่สุดของเทรนด์ใหม่!

ต่อไปการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI จะไม่ได้เป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้ระบบหลังบ้านและหน้าบ้านของการขายออนไลน์นั้นมีประสิทธิภาพเท่านั้น เพราะปี 2023 เทรนด์การใช้ AI ในการวิเคราะห์ ติดตาม และจดจำอารมณ์ของลูกค้า จะมาแรงด้วยเช่นกัน เทรนด์นี้จะช่วยทำให้ร้านค้าสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำและตรงจุดมากยิ่งขึ้น

เช่น The Very Group ผู้ค้าปลีกออนไลน์และผู้ให้บริการทางการเงินในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ ที่ใช้เทคโนโลยีติดตามอารมณ์ของ AI ใน Chatbot ที่จะทำให้สามารถรับรู้โทนเสียงหรือน้ำเสียงในการสื่อสารของลูกค้าและปรับการตอบให้สมูทไปกับการสนทนานั้นๆ ได้

Tip : การจะนำ AI มาใช้ในธุรกิจนั้น ควรรู้ก่อนว่า

  • ต้องการจะใช้ AI ในเรื่องอะไรหรือใช้เพื่อทำอะไร
  • มีเครื่องมืออะไรบ้างที่สามารถนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์นั้นๆ
  • มีใครบ้างที่เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำปรึกษาหรือจ้างให้ทำระบบ

5. FUN MOMENT เทรนด์ซื้อเพราะสนุก ที่สุดแห่งการสร้าง GIMMICK การขาย

ถ้าอยากให้สินค้าขายดีจะใช้แค่คุณภาพสินค้าอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เพราะปี 2023 นี้ ลูกค้าจะซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่มอบความสนุกให้พวกเขาได้ นี่เองที่จะทำให้ Gamification หรือการใช้เกมมาดึงดูดความสนใจให้ลูกค้าได้ร่วมเล่นและกระตุ้นยอดขายนั้นจะเฟื่องฟูและเติบโตมากขึ้น โดยร้านสามารถสอดแทรกเรื่องที่เกี่ยวกับสินค้าและแบรนด์เข้าไปในเกมได้ เพื่อสร้างการรับรู้ของลูกค้าให้มีมากขึ้น

เช่นเดียวกับ Konvy เว็บช้อปปิ้งสินค้าบิวตี้ออนไลน์ที่ปล่อยเกม Blinking Game, Help the delivery girl ที่เล่นได้ง่ายๆ แค่ใช้สีหน้าและการกะพริบตาโต้ตอบกับเกม และเกม Running Girl Game ที่ให้ลูกค้าเคลื่อนไหวและขยับตัวไปมา ซึ่งเมื่อจบเกมแล้วจะมีการแจก Reward ในรูปแบบของโค้ดส่วนลดมูลค่าสูงสุดถึง 20% ให้กับลูกค้าใหม่ ซึ่งสามารถนำไปใช้ตอนสั่งซื้อสินค้าบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันได้นั่นเอง

Tip :  เกมที่จะให้ลูกค้าเล่น ควรมีความเหมาะสมกับกลุ่มของลูกค้า เช่น

  • กลุ่มเน้นความบันเทิงเป็นหลัก = เกมที่เน้นความตื่นเต้นและท้าทายอย่าง เกมวงล้อนำโชค
  • กลุ่มเน้นเก็บสะสมแต้ม = เกมตอบคำถาม เพื่อสะสมแต้มและอัปเลเวล
  • กลุ่มชอบแข่งขัน = เกมที่สามารถแท็กเพื่อน หรือ Invite คนอื่นให้มาร่วมเล่นด้วยกันได้