รวมกันเราอยู่ แยกหมู่พักก่อน ว่าด้วยการต่อยอดความสำเร็จ ในวันที่ใครๆ ก็ต้องพึ่งพาร์ตเนอร์ร่วมธุรกิจ

รวมกันเราอยู่ แยกหมู่พักก่อน ว่าด้วยการต่อยอดความสำเร็จ ในวันที่ใครๆ ก็ต้องพึ่งพาร์ตเนอร์ร่วมธุรกิจ

ในวันที่ทุกธุรกิจล้วนต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง เพื่อช่วงชิงบางสิ่งบางอย่างให้ได้มาสำหรับเม็ดเงินมหาศาล และภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ให้กับองค์กร 

แต่ใครจะรู้ล่ะ…ว่าในโลกปัจจุบันนี้ไม่มีใครต่อสู้คว้าชัยชนะ และยืนยงได้ด้วยตนเองเพียงลำพังอีกแล้ว

ร่วมค้า

ที่ต้องพูดถึงความยิ่งใหญ่ ชัยชนะ และความแข็งแกร่ง เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญที่ทุกธุรกิจต้องการสร้างรายได้ และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

อย่างไม่กี่วันก่อนหน้า มีกระแสชั่วข้ามคืนสะเทือนวงการเพลงครั้งใหญ่ เมื่อค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง GRAMMY กับ RS ร่วมจับมือกันสร้างปรากฏการณ์สำคัญให้กับแฟนเพลง 

โดยการนำศิลปินชื่อดังของแต่ละฝ่ายขึ้นคอนเสิร์ตร่วมกันเป็นครั้งแรก ซึ่ง ภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ได้กล่าวในงานแถลงข่าวว่า

 “จริงๆ ต่างคนต่างเข้าหากัน ในช่วงเวลาต่างกัน แต่ในอดีตอาจจะอยู่ในช่วงเวลาไม่เหมาะสม เลยยังไม่เกิดขึ้น จนถึงเวลาที่ทั้ง 2 ฝ่ายเปิดหน้าคุยกัน ส่วนผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่าย คุยกันยังไงก็รับรู้ เขาก็ปล่อยให้เราตัดสินใจ จีบกันมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี”

สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องคือการหยิบปัญหาที่เคยเกิดขึ้นของทั้ง 2 ฝ่ายออก แล้วมองอนาคตร่วมกัน ทำให้ GRAMMY และ RS มีแผนจัด 3 คอนเสิร์ตใหญ่ ในปี 2023 

และในสัปดาห์เดียวกัน ปรากฏการณ์นกแก้วเกาะบนสายไฟหน้าร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง ก็สร้างเสียงเฮฮาให้กับผู้คนในโลกออนไลน์

เมื่อนกแก้วอเมซอน สัญลักษณ์ประจำ Café Amazon นำนกที่เป็นโลโก้มาทำการตลาดเสมือนว่านกเกาะบนสายไฟหน้าเซเว่นฯ 

กระแสสังคมตั้งข้อสงสัยไปต่างๆ นานา ในมุมมองที่หลากหลาย บ้างก็ว่าเป็นการควบรวมกิจการ เหมือนก่อนหน้าที่ทรูได้ควบรวมกิจการดีแทคไปหรือเปล่า บ้างก็ว่าเป็นการตลาดที่สะท้อนสังคม และบ้างก็ว่าเป็นการขายของอย่างสร้างสรรค์

แต่ถึงกระนั้นวันต่อมาทางเพจเฟซบุ๊กของ Café Amazon ได้ออกมาเฉลยแล้วว่า

“ภาพที่กำลังเป็นกระแส จริงๆ แล้วเป็นแคมเปญของ Café Amazon เอง ที่กำลังจะเปิดตัวกาแฟพร้อมดื่ม Café Amazon แล้วพบกันที่ 7-11 ทุกสาขา เร็วๆ นี้”

ร่วมกัน

แน่นอนว่าทั้ง GRAMMY, RS, Café Amazon และ 7-11 ต่างก็เป็นแบรนด์ใหญ่มีฐานรากของแบรนด์อย่างมั่นคง และมีกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน 

แต่อะไรล่ะ ที่ทำให้แบรนด์ใหญ่ๆ เหล่านี้ต้องร่วมมือกัน

เราปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคสมัยปัจจุบันการสร้างแบรนด์ให้ยิ่งใหญ่ หรือให้ผู้คนรู้จักได้นั้นต้องใช้พลัง และเงินมากพอสมควร ยิ่งหลังสถานการณ์โรคระบาดเบาลง ทุกประเทศทั่วโลกต่างต้องเร่งสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศของตนให้กลับคืนมาสู่ความมั่นคง และมั่งคั่ง

ไม่ต่างกับการทำธุรกิจ ช่วงโรคระบาดโควิดก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทุกธุรกิจระส่ำระสาย ที่นำไปสู่การปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ในหลายๆ แบรนด์ 

เห็นได้จากการใช้ขนส่งดีลิเวอรี่มากขึ้น ส่งตรงถึงบ้าน อำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับกลุ่มลูกค้ามากขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย

สิ่งที่แบรนด์ใหญ่ๆ หันมาร่วมมือกัน นั่นคือ การสร้างภาพลักษณ์ และการเอื้อผลประโยชน์ทางการค้าให้แก่กัน

อย่างกรณีของ GRAMMY กับ RS เราต่างก็รู้จักกันดีว่าทั้ง 2 แบรนด์มีชื่อเสียงด้านการสร้างเพลง สร้างศิลปินที่โด่งดังไปทั่วโลก อีกทั้งขายแผ่นเสียง เทปคาสเซตมากกว่าพันล้านอัลบั้มในหลายสิบปีก่อนหน้า 

หากย้อนกลับไปหลายปีก่อน GRAMMY และ RS คือคู่แข่งชั้นดีทางด้านการตลาดของวงการเพลง อีกทั้งยังเคยมีการฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์ ฟาดฟันห่ำหันกันเพื่อช่วงชิงพื้นที่สื่อ ทั้งยังรวมถึงเรื่องการแย่งตัวศิลปิน

ถึงกระนั้นภาพจำเหล่านั้น ก็ยังพอเหลืออยู่บ้างสำหรับแฟนเพลงที่ติดตามมาตลอด เมื่อเกิดปรากฏการณ์ร่วมมือจัดคอนเสิร์ตใหญ่ ภาพจำเก่าๆ ของการแก่งแย่งนั้นหายไป เหลือไว้ซึ่งความสวยงามจับมือเดินกันต่อบนเส้นทางเสียงเพลง

เมื่อจุดเปลี่ยนของภาพลักษณ์ดีขึ้น กิจการร่วมค้า (Joint Venture) จึงเป็นตัวกำหนดผลประโยชน์ที่จะนำแบรนด์ทั้งสองสร้างรายได้

ซึ่งผลประโยชน์จากการมีพาร์ตเนอร์คือ เราจะได้ระดมเงินและแบ่งปันทรัพยากรต่างๆ ระหว่าง 2 องค์กรร่วมกัน อีกทั้งเป็นการแชร์และแบ่งปันข้อบกพร่องบางอย่างที่ขาดหายไปให้ธุรกิจที่อยู่ในประเภทเดียวกันให้เห็นมากขึ้น

ไม่เพียงแค่นั้น ยังเป็นการลดความเสี่ยงในการขาดทุน ลดค่าใช้จ่ายบางอย่างที่พาร์ตเนอร์อีกฝ่ายช่วยสนับสนุนได้ และไม่ได้ผูกมัดตายตัวไปตลอด เพราะทุกการร่วมมือล้วนมีกำหนดเวลา ที่สำคัญ คือการมีพื้นที่หรือฐานลูกค้ามากยิ่งขึ้นจากพาร์ตเนอร์ของเรา

ไม่เพียงแค่กรณี GRAMMY และ RS ซึ่งนับว่าเป็นเคสศึกษาที่น่าสนใจ แต่ในเรื่องนี้ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่กำลังจะเปิดตัวพาร์ตเนอร์อีกมากมาย เราก็ต้องติดตามกันไปเรื่อยๆ ว่าแบรนด์ใดจะสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตนเองมากยิ่งขึ้น

สุดท้าย การวิเคราะห์ในครั้งนี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นถึงวิธีการร่วมงานเชิงธุรกิจที่หลากหลาย ชวนมองผลประโยชน์จากการร่วมธุรกิจ แต่ถึงกระนั้นในด้านของผลประโยชน์แม้จะมีมากแต่ในด้านผลเสีย ผู้ประกอบการธุรกิจที่อยากจะลองหาพาร์ตเนอร์ดีๆ สักแห่งก็ต้องตระหนักความเสี่ยงไว้เผื่อด้วยเช่นเดียวกัน