ดราม่าโซเชียล ปัญหาที่แบรนด์ไม่อยากเจอ ป้องกันได้ ด้วย Social Monitoring 

ดราม่าโซเชียล วิกฤตที่แบรนด์ไม่อยากเจอ รู้ไหม ป้องกันได้ด้วย Social Monitoring 

ดราม่าโซเชียล เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักสร้างความเสียหายที่เกินจะคาดเดา ยิ่งโดยเฉพาะกับภาคธุรกิจกิจการแล้ว ดราม่าโซเชียล ถือเป็นกรณีที่แบรนด์ต้องเฝ้าระวังกันอย่างมาก เพราะบางเคสรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียภาพลักษณ์แบรนด์ดังเพียงข้ามคืน ส่งผลต่อกิจการเลยก็มี

เว็บไซต์ WISESIGHT ได้แนะนำตัวช่วย อย่าง Social Monitoring หรือ MONITORING ซึ่งเป็นเครื่องมือหรือบริการที่คอยเฝ้าระวังโลกโซเชียล และพร้อมแจ้งเตือนทันทีเมื่อมีวิกฤตหรือดราม่าออนไลน์เกิดขึ้น โลกโซเชียลไม่เคยหลับ สามารถมีอะไรเกิดขึ้นได้เสมอ มีไว้แล้วอุ่นใจ เพราะช่วยกู้ภัยให้โลกโซเชียลของแบรนด์คุณได้

ทำไมผู้ประกอบการหรือเจ้าของแบรนด์/ธุรกิจ ต้องอาศัย Social Monitoring? มาดู 5 ข้อดีที่ช่วยกู้ภัยจากดราม่าโซเชียล ไปพร้อมกัน ดังนี้

  1. Social Monitoring เฝ้าระวังโลกโซเชียลให้คุณ

โลกโซเชียลตื่นตัวอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง แม้แต่ในช่วงเวลาที่คุณหลับไหล หากเกิดดราม่าในช่วงที่คุณไม่ได้เฝ้าดู อาจสร้างความเสียหายมากกว่าที่คุณคิด แค่หนึ่งคอมเมนต์ในเชิงลบ อาจขยายวงดราม่าไปทั่วทั้งโลกโซเชียล ที่กว่าจะรู้ตัวก็แก้ไขได้ยากแล้ว แต่ถ้าคุณใช้สิ่งนี้จะช่วยสอดส่องโลกโซเชียล เฝ้าระวังภัยให้คุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง

  1. รู้ดราม่าก่อนใคร ด้วยระบบแจ้งเตือนดราม่าโซเชียล

เคยไหม ทำไมดราม่าบางเรื่องมีทีมมอนิเตอร์ตลอดเวลา แต่เวลาที่เกิดเรื่องดราม่าบนโซเชียลคนที่เห็นก่อนมักเป็นหัวหน้า ไม่ก็ลูกค้า หรือคู่แข่ง แถมเวลาที่เรารู้ตัว ก็มักเป็นช่วงที่แก้ไขดราม่าได้ยากเสียแล้ว จะดีกว่าไหม ถ้าเรารู้ดราม่าออนไลน์ได้เร็วก่อนใคร เพื่อแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งสิ่งนี้จะทำหน้าที่เฝ้าระวัง และจะรีบแจ้งเตือนให้คุณรู้ทันที เมื่อมีดราม่าโซเชียลเกิดขึ้น

  1. ช่วยรักษาภาพลักษณ์แบรนด์

ความเสียหายของแบรนด์บางทีก็ไม่ได้มากับจำนวนเม็ดเงินที่ขาดทุน หรือยอดขายที่ลดลง แต่มาในรูปแบบของดราม่าที่ทำลายภาพลักษณ์แบรนด์ครับ เมื่อภาพลักษณ์แบรนด์เกิดความเสียหายเมื่อไร ก็ส่งผลให้ความเชื่อใจลดลง ผู้บริโภคก็ไม่อยากสนับสนุนซื้อสินค้าของแบรนด์ และส่งผลไปยังยอดขายได้ แต่ถ้าลองใช้ Social Monitoring ก็จะช่วยให้เรารู้ว่า ตอนนี้คนอื่นกำลังพูดถึงแบรนด์เราอย่างไร หากมีคอมเมนต์หรือการพูดถึงในเชิงลบ เราก็จะสามารถเข้าไปกู้วิกฤตได้ทัน รักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้

  1. ประหยัดทั้งเวลา และแรงงาน

งานสอดส่องและเฝ้าระวังโลกโซเชียลมันเป็นงานที่ค่อนข้างหนักครับ เพราะโลกโซเชียลนั้นกว้างใหญ่ มีหลายแพลตฟอร์มมาก และต้องคอยเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ต่อให้คนดูเป็นสิบกว่าชีวิตก็อาจไม่เพียงพอ จะดีกว่าไหมถ้าเรายกงานนี้ให้ Social Monitoring ทำแทน โดยที่เราไม่ต้องจ้างแรงงานเพิ่ม และไม่ต้องเสียเวลาในการเฝ้าระวังเอง และเอาเวลาที่เหลือนี้ไปทำอย่างอื่นที่ช่วยต่อยอดให้ธุรกิจเราเติบโตขึ้นไปอีก

  1. เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ถ้าวันไหนไม่มีเหตุดราม่าเกิดขึ้น เราอาจจะรู้สึกว่าเหมือนสิ่งนี้ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับเรามาก ในเมื่อไม่มีเหตุอะไร มันก็ไม่ได้ทำหน้าที่กู้ภัย แต่แท้ที่จริงแล้ว Social Monitoring ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา การที่ไม่มีดราม่าโซเชียลเกิดก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าวันไหนมีดราม่าเกิดขึ้น สิ่งนี้จะรีบเข้ามากู้วิกฤตให้แบรนด์เราได้ทันที แต่ถ้าไม่มีสิ่งนี้ไว้เลย แล้วค่อยมาตามหาตัวช่วยในวันที่ดราม่าเกิด ก็สายเกินไป เพราะความเสียหายต่อแบรนด์ได้เกิดขึ้นแล้ว เรียกได้ว่ามีไว้แล้วสบายใจ เป็นการลงทุนที่คุ้มกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นนั่นเอง