สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ผู้มีรายได้น้อย-SMEs กระทบหนัก

สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ผู้มีรายได้น้อย-SMEs กระทบหนัก

ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่กำลังจะเริ่มฟื้นตัวให้มีแนวโน้มสะดุดลง แม้ว่ารัสเซียและยูเครนจะไม่ใช่ประเทศคู่ค้าหลักของไทย แต่รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก ขณะที่ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ของโลก

ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าว ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ราคาแร่โลหะและวัตถุดิบต่างๆ ราคาปุ๋ย และราคาธัญพืช ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์และผลิตอาหาร ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของหลายธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้น

ทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนต้องขึ้นราคาสินค้า ซึ่งสะท้อนผ่านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ก.พ. ที่ขยับสูงขึ้นแตะ 5.23% (YoY) สูงสุดในรอบ 13 ปี กระทบผู้บริโภคโดยตรง ขณะเดียวกัน รายได้ครัวเรือนไทยยังคงเปราะบาง โดยจากการสำรวจพบว่า 33.8% ของครัวเรือนที่สำรวจมีรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ขณะที่ครัวเรือนราว 67.5% ไม่มีเงินออม

ดังนั้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเลือกใช้จ่ายเฉพาะจำเป็น ลดหรือชะลอการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยและกิจกรรมสังสรรค์ ซื้อสินค้าที่ใช้ทดแทนกันได้ในราคาที่ถูกลง โดยผู้บริโภคที่มีรายได้สูงมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวได้มากกว่ากลุ่มที่มีรายได้น้อย ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้น้อย ปรับตัวโดยหันไปใช้รูปแบบการเดินทางที่มีราคาถูกลงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ค่อนข้างเยอะ ดังนั้น หากมีการขึ้นค่าโดยสารสาธารณะ จะกระทบผู้บริโภคกลุ่มนี้

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐได้ออกมาตรการบรรเทาค่าครองชีพของผู้บริโภคไปบ้างแล้ว เช่น มาตรการคนละครึ่งเฟส 4 และล่าสุด ครม. ได้เห็นชอบ 10 มาตรการบรรเทาค่าครองชีพรอบใหม่ ที่จะช่วยลดค่าไฟฟ้า ตรึงราคาน้ำมันดีเซล ลดอัตราเงินสมทบประกันสังคม เป็นต้น

สำหรับอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ คือ ผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจก่อสร้าง และร้านอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่มีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมีความยืดหยุ่นในการปรับราคาที่น้อยกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่

ดังนั้น ในระยะสั้น ผู้ประกอบการ SMEs อาจต้องปรับกลยุทธ์โดยการพัฒนาสินค้าแบรนด์รอง และลดปริมาณหรือขนาดสินค้าแทนการขึ้นราคา ขณะที่ระยะยาว อาจนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการต้นทุนและสต๊อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น