วิกฤตความขัดแย้ง หนุนราคา “ทองคำ-น้ำมัน” ไปต่อ สร้างผลตอบแทนระยะยาว 

วิกฤตความขัดแย้ง หนุนราคา “ทองคำ-น้ำมัน” ไปต่อ สร้างผลตอบแทนระยะยาว 
วิกฤตความขัดแย้ง หนุนราคา “ทองคำ-น้ำมัน” ไปต่อ สร้างผลตอบแทนระยะยาว 

วิกฤตความขัดแย้ง หนุนราคา “ทองคำ-น้ำมัน” ไปต่อ สร้างผลตอบแทนระยะยาว 

วันที่ 7 มีนาคม 2565 นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ทองคำ มีโอกาสจะเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ดีในปีนี้ เนื่องจากโลกมีความเสี่ยงเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างประเทศตลอดทั้งปี โดยประเมินความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงในระยะยาว แม้ว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายได้ แต่ทั่วโลกจะหันมาจับตาการเคลื่อนไหวของรัสเซียหลังจากนี้

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS)

“ประเด็นของรัสเซียกับยูเครน น่าจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ปัญหาความขัดแย้งของโลก ความไม่ลงรอยของกลุ่มผู้นำประเทศเดินหน้าเข้าสู่ภาวะตึงเครียด ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไปอีกนาน โดยผลการโหวตในสหประชาชาติได้สะท้อนแล้วว่า โลกถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายสหรัฐอเมริกา ที่มี NATO เป็นแกนนำกับฝั่งทางรัสเซีย

ขณะที่ จีน ยังมีประเด็นอ่อนไหวของไต้หวันที่รอจะเกิดขึ้นอีก ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ทุกฝ่ายมองแล้วว่า เป็นตัวเลือกปลอดภัยอันดับที่หนึ่ง หากโลกเข้าสู่ภาวะไม่แน่นอน และน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ด้วย”

ประกอบกับ ทองคำ ยังมีประเด็นเรื่องของการเป็นสินทรัพย์ที่สามารถบริหารความเสี่ยงกับอัตราเงินเฟ้อได้ ถ้าหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) นำปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศมาใช้ในการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยช้าลงกว่าที่คาด ทองคำ ยังมีโอกาสได้รับปัจจัยหนุนจากเงินเฟ้อ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับสูง จากราคาน้ำมันที่ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย

ทางด้านปัจจัยทางเทคนิค ราคาทองคำ ได้ทะลุกรอบราคาแนวโน้ม Sideway ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้วออกมาได้ หากราคาไม่ลงมาต่ำกว่าระดับ 1,840 ดอลลาร์สหรัฐฯ ยังถือว่าเป็นเพียงแค่การย่อตัวเพื่อที่จะปรับตัวขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 2,077 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีโอกาสที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ จึงมองว่าควรมีทองคำติดอยู่ในพอร์ตในปีนี้ โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัวขึ้น 7.8% ขณะที่ น้ำมัน เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ปรับตัวขึ้นกว่า 50% แล้ว

สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) วันที่ 16 มีนาคมนี้ ที่เดิมคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.50% ในครั้งเดียว อาจจะเป็นไปได้ว่าจะขึ้นเพียงแค่ 0.25% รวมถึงความคิดเห็นจากประธาน FED ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ทิศทางราคาสินทรัพย์ต่อไป