เปิดแนวคิด “ประกันคุ้มครองโควิด-19” สงสัยไหม ทำไมบริษัทประกันถึงกล้าเปิด?

เปิดแนวคิด
เปิดแนวคิด "ประกันคุ้มครองโควิด-19" สงสัยไหม ทำไมบริษัทประกันถึงกล้าเปิด?

เปิดแนวคิด “ประกันคุ้มครองโควิด-19” สงสัยไหม ทำไมบริษัทประกันถึงกล้าเปิด?

ประกันโควิด – สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ลากยาวมาเกือบ 3 เดือนเต็ม หลายคนเสพข่าวจนเกิดความวิตกกังวล จนพากันไปซื้อข้าวสารอาหารแห้ง เครื่องใช้อุปโภคต่างๆ มาตุนไว้ และเมื่อเหล่าบริษัทประกันและธนาคารต่างๆ ออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส อย่าง “ประกันคุ้มครองโควิด-19” ผู้คนที่หวาดกลัวเจ้าเชื้อไวรัสนี้อยู่แล้ว ก็เฮโลแห่ไปซื้อกันเป็นแถบๆ

แต่เราเคยสงสัยหรือไม่ว่า ในสถานการณ์แบบนี้ ทำไมอุตสาหกรรมประกันภัยเหล่านั้น ถึงกล้าเปิดประกันแบบนี้ขึ้น ไม่กลัวเจ๊งหรือ?

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก นาม Chutima Pukbanyang หรือคุณเคท ได้โพสต์แนวคิดในการเปิดประกันตัวดังกล่าว ของเหล่าอุตสาหกรรมประกันภัย โดยข้อความมีอยู่ว่า

ทำไมบริษัทประกันถึงกล้าออกผลิตภัณฑ์คุ้มครอง COVID-19 !!

ช่วงนี้เพื่อนๆ ถามกันมาเยอะมากๆ ว่า ทำไมบริษัทประกันทั้งหลายถึงกล้าออกประกันตัวนี้มา ไม่กลัว เจ๊งเหรอบางคนบอกว่า นี่อาจกลายเป็นจุดจบของอุตสาหกรรมประกันภัยก็ได้

เคทจะอธิบายให้ฟังง่ายๆ นะคะ…

โดยหลักการแล้ว บริษัทประกันจะมีการทำ ดัชนีในกรณีที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมา (worst case)โดยอิงจากสถิติที่เกิดขึ้นจริง โดยหาค่าเฉลี่ยและคำนวณตามอัตราก้าวหน้าต่างๆ

ตัวอย่างเช่น ในเคส COVID-19

เรามาลองดูตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงๆ กันค่ะ

1. จีน มีผู้ติดเชื้อ ทั้งหมด ราวๆ 8.1 หมื่นราย

2. เกาหลีใต้ มีผู้ติดเชื้อ ราวๆ 8.5 พันราย

3. อิตาลี มีผู้ติดเชื้อ ราวๆ 3.2 หมื่นราย

4. สเปน มีผู้ติดเชื้อ ราวๆ 1.2 หมื่นราย

5. อิหร่าน มีผู้ติดเชื้อ ราวๆ 1.7 หมื่นราย

ทีนี้มาถอดสมการดัชนีกันค่ะ

>> เริ่มจากที่ จีน เมืองอู่ฮั่น มีประชากร ราวๆ 12 ล้านคน

= 12,000,000 ÷100 = 120,000 คน (1%)

ประชากรจีนติดเชื้อกัน ไม่ถึง 1% นะคะ

ถ้าถอดสมการละเอียดๆ จะได้ = ประมาณ 0.67%

สรุปมีผู้ติดเชื้อที่ จีน = 0.67%

 

>> เกาหลีใต้ แดกู มีประชากรราว 2.5 ล้านคน

= 2,500,000 ÷ 100 = 25,000 คน (1%)

ประชากรเกาหลีใต้ก็ติดเชื้อ ไม่ถึง 1% นะคะ

ถ้าถอดสมการละเอียดๆ จะได้ = ประมาณ 0.35%

สรุปที่ เกาหลี มีผู้ติดเชื้อ = 0.35 %

 

>> อิตาลี ลอมบาร์เดีย มีประชากรราวๆ 10 ล้านคน

= 10,000,000 ÷100 = 100,000 (1%)

ประชากรอิตาลีก็ติดเชื้อ ไม่ถึง 1% นะคะ

ถ้าถอดสมการละเอียดๆ จะได้ = ประมาณ 0.32%

สรุปที่ อิตาลี มีผู้ติดเชื้อ = 0.32%

 

>> สเปน กาตาลัน มีประชากรราวๆ 7 ล้านคน

= 7,000,000 ÷ 100 = 70,000 (1%)

ประชากร สเปนก็ติดเชื้อไม่ถึง 1% นะคะ

ถ้าถอดสมการละเอียดๆ จะได้ = ประมาณ 0.17%

สรุปที่ สเปน มีผู้ติดเชื้อ = 0.17%

 

>> อิหร่าน ประชากรทั้งประเทศ 81 ล้าน เนื่องจากไม่ทราบเขตแพร่ระบาดหนักๆ จึงขอไม่คำนวณ

>> ส่วนไทย มีประชากร 70 ล้าน เขตระบาดหนักๆ คือ กทม. ที่มีประชากรราวๆ 7 ล้าน ตอนนี้ติดเชื้อ 169 คน

จากตัวเลขข้างต้น เป็นเคสที่หนักๆ ไล่จาก 0.17- 0.67%

ทีนี้ การที่บริษัทประกันออกผลิตภัณฑ์คุ้มครอง COVID-19 ขึ้นมา เขาก็เอาตัวเลขดัชนีเหล่านี้มาคำนวณแหล่ะค่ะ อย่างในไทย ตัวเลขผู้ที่มีโอกาสซื้อ จากตัวเลขดัชนีที่เคทคำนวณ อยู่ที่ราวๆ 1% ของประชากรทั้งหมด
ตีว่า Max สุด คือ 6 แสนคน

คนที่มีกำลังซื้อและเข้าถึงประกัน จะอยู่ที่ประมาณ 30 ล้านคน ดังนั้นตัวเลขที่เป็นไปได้คือ 1% ใน 30 ล้าน

= Min 300,000 –> Max 600,000

เรามาลองคำนวณขั้นต่ำนะคะ (ตัวเลขจริงๆ ตอนนี้น่าจะซื้อกันระดับ แตะๆ 2 แสนคนละ)

ประกันราคาเฉลี่ย 500 บาท จ่าย 100,000

สมการ Min(pp) × 500 = 150,000,000

หมายถึงว่า ขั้นต่ำจะมีเงินสะพัดในระบบประกัน = 150 ล้านบาทค่ะ !!

ทีนี้ถอดสมการโอกาสเกิดเคสเลวร้ายแบบสุดๆ ของสุดๆ (worst case )

Min(pp) – 0.67% = 2,010 คน

จะเกิดเคสเลวร้ายสุดที่ 2,010 คน = 2,010 × 100,000 (จ่าย) = 201,000,000 บาท

นั่นหมายถึง ในเคสที่เลวร้ายที่สุด บริษัทประกันจะขาดทุน แค่ 50 ล้าน

แล้วถ้ากรณีที่ เลวร้ายระดับ Min-worstcast หล่ะ

Min(pp) – 0.17% = 510 คน

= 510 × 100,000 (จ่าย) = 51,000,000 บาท

นั่นหมายถึง ในเคสเลวร้ายเบื้องต้น บริษัทประกันจะกำไร 100 ล้านบาทค่ะ !!

ทีนี้ในความเป็นจริง ตัวเลขข้างต้น คือ ช่วงเลวร้ายของโรคนี้นะคะ และยังไม่มีมาตรการใดๆ แก้ไขชัดเจน ซึ่ง สถานการณ์ปัจจุบันต่อจากนี้ไป โอกาสดัชนีเกิดโรคจะลดต่ำลงเรื่อยๆ เพราะประชาชนทั่วไป เริ่มตระหนักและดูแลตัวเองกันมากขึ้น

ไทยเรา มีประชากร 70 ล้าน เขตระบาดหนักๆ คือ กทม. ซึ่งมีประชากรราวๆ 7 ล้านคน ตอนนี้ติดเชื้อ 169
ถ้าคิดแบบไดนามิคก็อาจจะเพิ่มถึง 500 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1สัปดาห์

แต่….มันก็แค่ 500 คน ในประชากร 70 ล้านอ่ะค่ะ

ตอนนี้ต่างประเทศก็งดเดินทางเข้า รวมถึงมีมาตรการกักตัวและปิดพื้นที่เสี่ยง การออกมาตรการและควบคุมต่อจากนี้เราไม่มีทางเห็นตัวเลขหลักหมื่นในปีนี้แน่ๆ ตรงนี้แหละค่ะ เลยทำให้บริษัทประกันกล้าออกผลิตภัณฑ์ตัวนี้มาและเมื่อใดที่สมการของฝั่ง Buy เยอะขึ้นไม่บาลานซ์กับดัชนี เขาก็จะเริ่มลดวงเงินผลตอบแทนลง

และสิ่งที่เพื่อนๆ ลืมคิดไปคือ บริษัทประกันโดยมากแล้วเงินที่ได้จากเรา เขาจะนำไปลงทุนในพันธบัตร ตราสารหนี้ กองทุนฯ ซึ่งก็จะได้ผลตอบแทนทบไปอีกเป็นเท่าตัวในระยะยาว

(และอย่าลืมอีกข้อหนึ่งนะคะ สิ่งที่ประกันจะได้ที่มีมูลค่ามากกว่าตัวเงิน คือ ฐานข้อมูลของเราที่จะไปรวมไว้ใน Big Data ค่ะ )

แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าบริษัทไหนๆ ล้วนต้องการเงินสดค่ะ

ดังนั้น การที่บริษัทประกันมีเงินสดเข้ามาในระบบจำนวนมากในช่วงนี้ นอกจากเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจแล้ว ยังถึงเขายังเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนเป็นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์

คุณลองหันไปดูตลาดหุ้นช่วงนี้สิ หุ้นราคาถูกๆ พื้นฐานดีๆ มีมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญคือ คนที่จะซื้อได้ต้องมีเงินสดค่ะ แล้วหุ้นพวกนี้แหละที่จะสร้างผลตอบแทน 3-4 เด้งในอนาคตค่ะ

ดังนั้น ใจความสำคัญตอนนี้คือ บริษัทประกันต้องการเงินสด นั่นเอง

ป.ล.1)ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมแจ้งได้นะคะ ถ้าตรงไหนผิดพลาดไม่ถูกต้องแจ้งข้อมูลนะคะ แชร์ข้อมูลกันได้ค่ะ เพราะอันนี้เป็นแค่การคิดคำนวณของเคทเอง อย่ายึดถือนะคะ แต่ให้ไว้เป็นแนวทางในการศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ

2) ส่วนใครที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรทำไว้นะคะ ดูรายละเอียดดีๆ ไม่ต้องกังวลว่าประกันจะไม่พอจ่าย ถ้าทำกันเยอะๆ ตามเหตุผลที่เคทให้ไว้ค่ะ

อ่านจบก็แอบคิดไม่ได้ว่า ถ้าบริษัทไหนไม่เปิดรับ ถือว่าพลาดโอกาสทองในการทำกำไรไปแล้วแน่ๆ และหากลูกเพจท่านใดสนใจ หรือกำลังมองหาประกันที่ตอบโจทย์อยู่ อย่าลืมอ่านรายละเอียดดีๆก่อนซื้อนะคะ