“5 ชั่วโมง เหมือน 3 วัน” สจ๊วตหนุ่มเล่า นาทีเผชิญเที่ยวบินปักกิ่ง-รับมือไวรัส ด้วยกฎ 5 ข้อ

“5 ชั่วโมง เหมือน 3 วัน” สจ๊วตหนุ่มเล่า นาทีเผชิญเที่ยวบินปักกิ่ง-รับมือไวรัส ด้วยกฎ 5 ข้อ

สจ๊วตหนุ่ม – สถานการณ์ ไวรัสอู่ฮั่น เป็นภัยปัญหาที่คนไทยให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก หลายภาคส่วนเข้ามาช่วยกันสกัดกั้น คัดกรอง และเฝ้าระวัง ผู้ที่ถูกสงสัยว่าติดเชื้อตัวนี้ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดไม่ให้ลุกลามไปมากกว่าเดิม แม้ว่าภายในใจจะเกิดความกลัวเช่นเดียวกัน แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่

ดังเช่นหนุ่มสจ๊วตเจ้าของเฟซบุ๊ก Phing-an Saelong ได้แชร์ประสบการณ์ในการทำงาน ท่ามกลางสถานการณ์ไวรัสระบาด พร้อมวิธีรับมือกับความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยโพสต์เล่าว่า

ความตายเป็นสิ่งใกล้ตัว กับเชื้อไวรัสโคโรนา …

เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทุกประการ เพื่อแลกเปลี่ยนการเตรียมตัวป้องกันโรคระบาดร้ายแรงตัวใหม่ จากข่าวที่กำลังโด่งดังในตอนนี้ เกี่ยวกับโรคระบาดจากเชื้อไวรัสโคโรนา โดยมีศูนย์กลางการก่อกำเนิดที่เมืองอู่ฮั่น ใครจะไปรู้ว่าชั่วเวลาข้ามคืนไวรัสนี้ได้แพร่กระจายไปยังเกือบทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ยิ่งไปกว่านั้น ทวีปเอเชียและเหล่าประเทศเพื่อนบ้าน ก็พลอยได้รับไวรัสนี้ไปด้วย โดยไม่ต้องสืบสวนว่ามาได้ยังไง

การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสนี้ ต้องไม่ได้เกิดจากสายลมพัดผ่านจากโพคาฮอนทัส หรือจะเป็นการแหวกว่ายธาราของแอเรียลแน่นอน แต่การระบาดนั้นเกิดขึ้นจากการเดินทางของผู้โดยสาร และพาหนะหลักของการกระจายไวรัสคงไม่พ้นเครื่องบิน

แล้วจะทำยังไงได้ เมื่อผิงอัน (ชายเจ้าของโพสต์) คือคนที่ทำงานบนเครื่องบิน และมากไปกว่านั้น ยังมีไฟลต์บินมุ่งหน้าสู่เมืองปักกิ่งในช่วงนี้เสียด้วย ใจจริงถามว่าพร้อมไหม ตอบได้เลยเต็มปากว่า ไม่ แต่จะทำยังไงได้ หน้าที่ก็คือหน้าที่ ถึงเราจะไม่ไปวันนี้ ไฟลต์ถัดไปก็ต้องไปอยู่ดี ด้วยตำแหน่งที่เป็นลูกเรือไทยซึ่งติดธงภาษาที่ 3 คือ ภาษาจีน

และแล้ววันแห่งการทำสงครามไวรัสก็มาถึง หลังจากการสวดมนต์ไหว้พระมูเตลู ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การเดินทางครั้งนี้แคล้วคลาด และเทพเจ้าที่ผิงอันได้เลือกบูชาเป็นพิเศษคงไม่พ้น เจ้าแม่กวนอิม และ องค์เทพนาจา โดยเพิ่มดีกรีความขลังด้วยการขอพรเป็นภาษาจีน โดยใจความคือ ขออย่าให้เครื่องมีปัญหาจนต้องลงค้างที่ปักกิ่ง และขอให้เดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย สมชื่อของผิงอัน

การเตรียมตัวเรื่องป้องกันการรับเชื้อไวรัสไม่ต้องพูดถึง ทั้งถุงมือ สเปรย์ฆ่าเชื้อโรค แอลกอฮอล์ล้างมือ หน้ากากอนามัย ชุดลำลองเพื่อเปลี่ยนทันทีหลังลงจากเครื่อง ทั้งหมดนี้ได้ถูกบรรจุไว้ในกระเป๋าคู่กายและรวบรวมลมปราณเฮือกใหญ่ ก่อนตัดสินใจก้าวออกไปยังสมรภูมิ

หลังจากที่เข้าห้องบรีฟเพื่อรับข้อมูลการบิน ข่าวไวรัสโคโรนาที่ว่าช็อกโลกแล้วยังไม่พอ ข้อมูลที่เพิ่มเข้ามาอีกคือ ที่จีนตอนนี้เกิดโรคอหิวาต์ระบาดในสุกร ส่งผลให้อาหารที่ทำจากหมูทั้งหมดถูกยกเลิก ในใจก็พลอยคิดว่า อะไรจะต้องมาประดังประเดอัดแน่นในช่วงนี้ด้วย นี่ว่าช็อกแล้ว ยังมีเรื่องตกใจกว่านั้นคือ ได้มีผู้โดยสารที่ตกค้างจากไฟลต์ก่อนหน้า และผู้โดยสารที่ถูกกักตัวเดินทางกลับไฟลต์นี้ด้วย ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารไม่ถึงครึ่ง จากทีแรกได้เพิ่มมาเป็นแน่นลำในชั่วเวลาเพียงพริบตา

ถึงเวลาที่ต้องเริ่มปฏบัติหน้าที่ เมื่อรถขนส่งผู้โดยสารจากอาคารมาถึงเครื่องบิน เหล่าบรรดาลูกเรือทุกคนต่างหาเครื่องปกป้องตัวเองเท่าที่จะหาได้ นำโดยหน้ากากอนามัยและถุงมือ เมื่อผู้โดยสารเริ่มทะยอยขึ้นมา ก็พลอยทำให้เหล่าลูกเรือใจชื้นขึ้นมาบ้าง เพราะจำนวน 98 เปอร์เซ็นต์ของผู้โดยสาร สวมหน้ากากอนามัย แต่ถึงอย่างนั้น ในใจอีกส่วนก็อดคิดไม่ได้ว่า หน้ากากนี้จะป้องกันได้จริงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรมันก็น่าจะดีกว่าที่เราไม่ทำอะไรเลย

การใส่หน้ากากอนามัยเป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะลูกเรือแต่ละคนต่างไม่คุ้นชิน บ้างก็บ่นว่าหายใจไม่ออกหรือบ้างก็บ่นว่าหายใจไม่ทัน ส่วนผิงอันนั้นนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะใส่หน้ากากยาวนานถึง 12 ชม. แต่โชคดีที่เป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการฝึกวิ่งในระยะยาว ส่งผลให้การหายใจในหน้ากากไม่เป็นที่ลำบากมากนัก เนื่องจากการทำงานของปอดค่อนข้างดี

วันนี้ผิงอันรับหน้าที่เป็นผู้จัดการประจำครัว จึงออกกฎประจำครัวแก่เพื่อนร่วมงานเลยว่า 1. ห้ามใครในที่นี้ถอดถุงมือหรือหน้ากากเด็ดขาด จนกว่าจะกลับมาถึงกรุงเทพฯ 2. ห้ามใครในครัวนี้ดื่มน้ำจากขวดหรือจากแก้วที่มีอุณหภูมิเย็น นั่นหมายถึงต้องดื่มน้ำร้อนเท่านั้น 3. ผิงอันจะตั้งนาฬิกาปลุกทุกๆ 30 นาที เมื่อสัญญาณดังขึ้นทุกคนต้องล้างมือและเปลี่ยนถุงมือคู่ใหม่ทันที 4. ห้ามสัมผัสตา ปาก และหูโดยเด็ดขาด ถ้าจำเป็นจริงๆให้ล้างมือก่อนและทุกย่างก้าวต้องมีสติ ห้ามเผลอ ทั้งหมดนี้เป็นพันธสัญญาร่วมกันระหว่างครัวเรา

การปฏิบัติงานผ่านไปด้วยดี แต่ไม่หมดซะทีเดียว เพราะมีผู้โดยสารบางกลุ่มขออัพเกรดตัวเองจากชั้นประหยัดขึ้นมายังชั้นธุรกิจ โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากอยู่ในที่แออัด อัตราการอัพเกรดอยู่ที่ท่านละ 12,000 บาท และไฟลต์นี้ได้มีผู้ยอมจ่ายเงินเพื่อความปลอดภัยตัวเองถึง 4 คน โดยที่มีผิงอันคอยประกบทุกกระบวนการเจรจา เนื่องจากเป็นลูกเรือจีนคนเดียวในไฟลต์

เวลาผ่านไปจนเครื่องถึงกรุงปักกิ่ง เหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่ขึ้นมาทำความสะอาดพร้อมบรรดาหน้ากากและถุงมือ เพื่อป้องกันไวรัสกันอย่างเต็มกำลัง พลันนึกขึ้นได้ว่า รัฐบาลจีนได้เข้มงวดและกระจายข้อมูลแก่ประชากรในประเทศได้ดีมาก ถึงมาตรการการป้องกันต่างๆ แต่ถึงกระนั้น ผิงอันได้ออกกฎเพิ่มในครัวตัวเองอีกว่า หากไม่จำเป็นจริงๆอย่าได้ทานอาหารที่ขึ้นจากปักกิ่ง เพราะเราไม่ทราบเลยว่าจะมีสารอะไรเจือปนหรือไม่ รวมถึงน้ำดื่มและนมทุกชนิดที่ขี้นจากที่นี่ก็ควรหลีกเลี่ยง จากกฎ 5 ข้อที่ผิงอันได้ตั้งขึ้น เพื่อนๆ และพี่ๆ ในครัว ยินดีปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เนื่องจากทางลูกเรืออาจจะยังไม่คุ้นชินกับอาหารประจำถิ่น แต่หากเป็นบุคคลที่ทานอาหารท้องถิ่นประจำอยู่แล้วจะมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้วตามธรรมชาติ

เที่ยวบินขากลับเป็นเวลา 4 ชั่วโมง 55 นาที แต่ความรู้สึกของผิงอันเหมือนราวกับว่าไฟลต์นี้บินมาแล้ว 3 วัน ยิ่งนั่งดูเวลาก็ยิ่งทำให้เวลาเดินช้าลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์จากห้องนักบินได้ดังขึ้น เพื่อเรียกผิงอันเข้าไปเจรจา เมื่อเข้าไปถึงนักบินได้ถามผิงอันว่า

นักบิน : พี่ต้องตั้งสนามบินสำรองไว้เผื่อต้องลงฉุกเฉิน ตอนนี้มีสนามบินอู่ฮั่นที่ใกล้ที่สุด แต่ผมจะไม่ลงที่นี่ ถ้าเราไปลงที่ฉางชาได้มั้ย

ผิงอัน : เอ่อ พี่ครับ ถ้าลงฉางชานี่คือเหมือนเราตีฝ่าวงล้อมข้าศึก แล้วไปหยุดอยู่ใจกลางข้าศึกเลยนะครับ มีที่อื่นไหมครับ

นักบิน : ถัดไปเป็นกวางเจา

ผิงอัน : ตอนนี้ไวรัสก็ลามไปถึงกวางเจาแล้วครับ ผมเชื่อว่าพี่จะพาผมกลับกรุงเทพฯ โดยไม่ต้องแวะที่ไหนครับ ผมไหว้พระมาแล้ว

หลังจากที่ได้เจรจาเสร็จ ยิ่งทำให้ใจจากที่ร้าวรานอยู่แล้วกลับร้อนรุ่มเพิ่มขี้นอีก แต่ผลสุดท้ายก็มาถึงแผ่นดินมาตุภูมิได้อย่างปลอดภัย

ก่อนที่จะลงจากเครื่อง ผิงอันยังออกกฎเพิ่มว่า ให้เหล่าบรรดาแอร์สาวถอดอาภรณ์ชุดไทยออกและใส่ถุงพลาสติกแยกไว้ อย่านำไปรวมกับเสื้อผ้าชิ้นอื่น เมื่อถึงอาคารแล้วให้รีบส่งซักฆ่าเชื้อทันที

เมื่อผิงอันมาถึงตัวอาคาร ก็รีบนำเสื้อผ้าส่งซักฆ่าเชื้อและเปลี่ยนจากชุดทำงานเป็นชุดที่เตรียมมาทันที เพราะเราไม่รู้เลยว่า มีเชื้อหรือไวรัสอะไรบ้างติดตามเสื้อผ้า มากไปกว่านั้น ผิงอันได้จัดการอาบน้ำที่ตึกก่อนที่จะกลับเข้าบ้านอีกด้วย เพราะที่บ้านเรามีคนที่เรารักและรักเรารออยู่ หากตัวเรามีเชื้อ รับรองได้ว่าในบ้านคงรับเชื้อไปด้วย

อยากฝากให้คนทุกคนตระหนักถึงภัยร้ายของไวรัสตัวนี้ เพราะถ้าหากใครได้รับเชื้อแล้ว และยังไม่สามารถหายารักษาได้ในช่วงนี้ รับรองว่าจะจากไปอย่างทรมาน หน้ากากอนามัยช่วยได้ ถุงมือกันเชื้อโรคช่วยได้ การกินของปรุงสุกและดื่มน้ำร้อนช่วยได้

อย่างไรก็ตาม ทางสายการบินและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เพิ่มมาตรการการป้องกันขึ้นอีกหลายระดับ โดยจะมีเจ้าหน้าที่เข้าฉีดพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อในทุกเที่ยวบินหลังจากผู้โดยสารลงจากเครื่องแล้ว อีกทั้ง ยังเพิ่มความเข้มงวดเรื่องการคัดกรองผู้โดยสาร เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ดังนั้นขอให้ผู้โดยสารทุกท่านวางใจในมาตรฐานการควบคุมโรคในครั้งนี้

ขอให้ทุกพื้นที่มีแต่ผิงอัน เพราะผิงอันแปลว่าสงบสุข

หลังจากโพสต์ดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไป ได้มีชาวเน็ตเข้ามากดไลก์ กดแชร์ออกไปเป็นอุทาหรณ์เป็นจำนวนมาก