ผู้เขียน | เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ภาคประชาชนชี้! มาตรการรัฐแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เห็นเป็นรูปธรรม คือ การฉีดน้ำ
ข่าวจาก change.org แจ้งว่า เมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา กลุ่ม Friend Zone และตัวแทนจากกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ยื่นรายชื่อผู้สนับสนุนแคมเปญ “ออกมาตรการตั้งรับวิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นซ้ำแน่นอน” พร้อมข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ต่อกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งทางกรมก็ตอบรับว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่แม้จะมีสัญญาณก้าวหน้าในบางเรื่อง เช่น การออกประกาศบังคับให้รถยนต์ใหม่ใช้มาตรฐาน EURO 6 และการควบคุมควันดำรถ แต่ทางกลุ่มผู้รณรงค์ เห็นว่ายังไม่มีมาตรการและกรอบเวลาที่ชัดเจนเพียงพอในด้านอื่นๆ
“มาตรการของรัฐ ที่ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรม คือ การฉีดน้ำ ซึ่งทำได้เพียงชั่วคราว และช่วยลดเฉพาะฝุ่นเม็ดใหญ่ แต่ฝุ่นที่เป็นปัญหาคือฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นฝุ่นละเอียดและขนาดเล็กเกินกว่าที่น้ำซึ่งมีขนาดอนุภาคใหญ่กว่าจะจับฝุ่นได้ ที่สำคัญ การฉีดน้ำอาจไปรบกวนเซ็นเซอร์วัดฝุ่นทำให้การวัดค่าฝุ่นออกมาผิดเพี้ยนได้” ตัวแทนกลุ่มผู้สนับสนุนแคมเปญ “ออกมาตรการตั้งรับวิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นซ้ำแน่นอน” ระบุอย่างนั้น
ก่อนบอกด้วยว่า นาทีนี้ วิกฤตมลภาวะทางอากาศจากปริมาณฝุ่นพิษที่เกินมาตรฐาน ควรต้องได้รับการยกระดับเป็นวาระเทียบเท่า ‘ภัยพิบัติ’ ระดับชาติได้แล้ว เพราะส่งผลกระทบต่อชีวิตเราทุกคน โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก คนชรา ผู้ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ ผู้ทำงานกลางแจ้ง และผู้มีรายได้น้อยที่เข้าไม่ถึงหน้ากากกันฝุ่น ที่สำคัญ ฝุ่นพิษนี้มีแนวโน้มจะหวนกลับมาทุกครั้งที่เกิดภาวะความกดอากาศต่ำ เช่นที่เกิดในปี 2561 และปี 2562 ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน นั่นคือช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.
“ในฐานะตัวแทนภาคประชาชน พวกเราจึงขอเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกาศแผนดำเนินงาน รวมถึงกรอบเวลาดำเนินงานอย่างชัดเจนและโปร่งใสต่อประชาชน ซึ่งมีสิทธิได้รับอากาศสะอาดไว้หายใจ ขอทุกท่านช่วยกันแชร์แคมเปญนี้ ช่วยกันส่งเสียงดังๆ ไปยังภาครัฐ เพราะสุขภาพของประชาชนเป็นเรื่องที่รอไม่ได้” นี่คือเสียงของประชาชนและภาคประชาสังคมหลายภาคส่วน
ทั้งยังมีข้อเรียกร้องให้ภาครัฐ ออกมาตรการตั้งรับวิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่จะหวนกลับมาสร้างวิกฤตอีกอย่างแน่นอน โดยเสนอข้อเรียกร้องมีทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ดังนี้
- ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของคนไทย โดยเสนอให้กรมควบคุมมลพิษ “ยกร่างมาตรฐานค่า PM2.5 ในบรรยากาศ” สำหรับประเทศไทยขึ้นใหม่ โดยกำหนดให้ค่าเฉลี่ย PM2.5 รายปีมีได้ไม่เกิน 12 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่าเฉลี่ย PM2.5 ใน 24 ชั่วโมง มีได้ไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ภายในปี พ.ศ. 2562
- ลดจำนวนรถ คุมควันดำ-มีมาตรการลดปริมาณรถยนต์ให้สอดคล้องกับภาวะวิกฤต (เช่น ‘สั่งการ’ งดใช้รถ ไม่ใช่ ‘ขอความร่วมมือ’) อย่างเข้มงวด จับจริง ปรับจริง เนื่องจากรถยนต์และการจราจรที่ติดขัดเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของฝุ่นพิษในเมือง และควันพิษจากรถยนต์จะสูงขึ้นถ้าความเร็วของรถยนต์ต่ำลงเช่นเวลาที่รถติด รัฐควรมีมาตรการห้ามรถบรรทุกเข้าเมืองในช่วงเวลาที่อากาศวิกฤต PM2.5 เกิน 100 หรือสลับวันที่รถวิ่งได้ตามเลขทะเบียน ซึ่งสามารถลดปริมาณรถยนต์ลงได้ครึ่งหนึ่ง รวมไปถึงการตรวจจับรถควันดำอย่างเคร่งครัด เรากำลังเผชิญวิกฤต จึงไม่อาจคาดหวังได้ว่าทุกคนจะใช้ชีวิตบนท้องถนนได้ตามปกติ
- พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ ให้มีมาตรฐาน ปลอดภัย ราคาเข้าถึงได้ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดใช้รถยนต์ และรองรับผู้คนจำนวนมากที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายลดจำนวนรถในข้อ 2 และมีมาตรการให้ใช้ขนส่งสาธารณะฟรีในวันที่มีวิกฤตฝุ่น
4.เพิ่มพื้นที่สีเขียวตามมาตรฐานสากล นั่นคือ 9 ตร.ม./คน เพราะต้นไม้ช่วยดูดซับมลพิษได้ จากผลการศึกษาของ U.S. Forest Service และสถาบัน Davey ในสหรัฐฯ พบว่าต้นไม้ในเมืองสามารถดูดซับฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 64.5 เมตริกตันต่อปี ในแอตแลนต้า และงานวิจัยจาก TNC หรือ The Natture Conservancy รายงานว่าหากเรามีพื้นที่สีเขียวมากพอ จะสามารถลดปริมาณฝุ่นได้เฉลี่ยร้อยละ 7-24 แต่เมื่อพิจารณาพื้นที่สีเขียวเฉพาะกรุงเทพฯ ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างสวนสาธารณะ โดยไม่รวมพื้นที่สนามกอล์ฟหรือพื้นที่เอกชนอื่นๆ จะพบว่ามีสัดส่วนพื้นที่สีเขียวเพียง 6.4 ตร.ม./คน ซึ่งสัดส่วนนี้ยังไม่นับรวมประชากรแฝง สัดส่วนนี้ถือว่าต่ำกว่าประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้วหลายประเทศ อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบระหว่างห้างสรรพสินค้า 25 แห่งกับสวนสาธารณะ 25 แห่ง พบว่า พื้นที่สวนสาธารณะน้อยกว่าราว 400 ไร่ ดังนั้น เราจึงขอให้ภาครัฐ 1) ออกกฎหมายควบคุมอาคารให้ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งมีพื้นที่สีเขียวเพื่อเป็นการช่วยเยียวยาปัญหาสิ่งแวดล้อม 2) เพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะ โดยนำพื้นที่จากหน่วยงานรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือเป็นหน่วยงานกลางเมืองที่คนไม่ได้ติดต่อเป็นประจำ ย้ายไปนอกเมือง และสร้างสวนสาธารณะขึ้นแทน
- ขอความจริงและจัดทำฐานข้อมูลมลพิษ เมื่อเกิดวิกฤตฝุ่น รัฐควรนำเสนอข้อมูลสภาวะอากาศอย่างครบถ้วน โปร่งใส ล่วงหน้า ออกในทุกช่องทางรายวัน โดยบอกถึงอันตรายของมลพิษอย่างจริงจังตามจริงและประชาสัมพันธ์วิธีป้องกัน อีกทั้งมีการจัดทำ “ฐานข้อมูลแหล่งปลดปล่อยมลพิษและทิศทางการปลดปล่อยมลพิษ” อย่างชัดเจน ว่ามลพิษที่ปลดปล่อยมาจากแหล่งใด ปริมาณเท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้คุมการเผา และคุมการปล่อยควันพิษของโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง
- จัดตั้งหน่วยงานที่เป็น “เจ้าภาพ” แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เมื่อเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในไทยขึ้น เรามักหา “เจ้าภาพ” ในการรับผิดชอบไม่เจอ แต่ละหน่วยงานต่างชี้ไปที่หน่วยงานอื่น หรือกล่าวอ้างว่าเพราะติดกฎหมายหรือนโยบายของอีกหน่วยงานซึ่งไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เลย ปัญหานี้สามารถแก้ได้โดยเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารเรื่องสิ่งแวดล้อมใหม่ทั้งหมด โดยจัดตั้งองค์กรกลางที่มีลักษณะคล้ายองค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งอเมริกาหรือ US-EPA (ศึกษาเพิ่มเติมได้ ที่นี่) ซึ่งเกิดจากการที่ทุกกระทรวง และหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อมจำนวนมาก ยอมสละอำนาจทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมแล้วโยกย้ายมาให้องค์กรใหม่เป็นผู้ถือกฎหมายและบังคับใช้แทน องค์กรใหม่นี้จึงมีอำนาจเต็มในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งน่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีเอกภาพและได้ผลอย่างแท้จริง
“อากาศ เป็น ทรัพยากรเดียวที่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหนก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้ร่วมกัน และเรากำลังฆ่าตัวตายหมู่ด้วยกันอย่างช้าๆ ในตอนนี้ จากประสบการณ์การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ของทั่วโลก ต่างต้องฝ่าฟันความตึงเครียด ความยากลำบากในการวางนโยบาย การต่อต้านจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายในสังคม ความไม่สะดวกสบายและเสียงบ่นของประชาชนที่ต้องปรับตัว หากรัฐบาลยังไม่วางรากฐานใดๆ และยังไม่ทำอะไรมากไปกว่าฉีดน้ำ เมื่อความกดอากาศต่ำมาเยือนอีกครั้ง พวกเราจะได้สูดอากาศที่เต็มไปด้วยกระสุนเม็ดจิ๋วอย่างแน่นอน” กระแสเรียกร้อง จากภาคประชาชน บอกไว้อย่างนั้น