เหลือแค่ 8 วัน! สิ้นสุดลงทะเบียน ‘ผู้ป่วย’ ใช้กัญชา ทางอินเตอร์เน็ต รีบแจ้งก่อนถูกจับ

เหลือแค่ 8 วัน! สิ้นสุดลงทะเบียน ‘ผู้ป่วย’ ใช้กัญชา ทางอินเตอร์เน็ต รีบแจ้งก่อนถูกจับ

สิ้นสุดลงทะเบียน ‘ผู้ป่วย’ ใช้กัญชา – เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ห้องประชุม 1205 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ รพ.จุฬาลงกรณ์ ในงานแถลงข่าว “การลงทะเบียนการใช้กัญชาทางอินเตอร์เน็ตเพื่อผู้ป่วยก่อนสิ้นวันนิรโทษกรรม” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ รพ.จุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า การแจ้งครอบครองกัญชาโดยไม่ต้องรับโทษ จะสิ้นสุดตามกฎหมายในวันที่ 21 พ.ค. 2562 ซึ่งเหลืออีกประมาณ 8 วัน หากยังไม่มาแจ้งครอบครองอาจกลายเป็นผู้กระทำผิดตามกฎหมาย

ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนให้กับผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว รพ.จุฬาฯ สภากาชาดไทย จึงร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ และจิตอาสาภาคประชาชน พัฒนาระบบลงทะเบียนการใช้กัญชาทางอินเตอร์เน็ตเพื่อผู้ป่วยขึ้น คือ www.cbd-oss.org ซึ่งจะมีการกรอกข้อมูลทั้งบัตรประชาชน ใบรับรองแพทย์ โดยข้อมูลหลักฐานต่างๆ จะถูกเก็บเป็นความลับ

“เราไม่ใช่องค์กรทางกฎหมายที่จะอนุมัติการครอบครอง แต่เป็นการอำนวยความสะดวก เพราะสามารถลงทะเบียนจากที่ไหนก็ได้ สามารถทำเองที่บ้านได้ หรือหากเป็นผู้สูงอายุที่ทำไม่เป็น ก็สามารถให้ลูกหลานที่ใช้อินเตอร์เน็ตช่วยเหลือในการลงทะเบียนได้ หลังจากลงทะเบียนทางอินเตอร์เน็ตระหว่างวันที่ 13-21 พ.ค. 2562 แล้ว ก็จะส่งข้อมูลให้แก่ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นการผ่อนปรนว่า ขณะนี้มีความบริสุทธิ์ใจที่จะแสดงตัวเรียบร้อย แต่ขั้นสุดท้ายจะต้องมีหลักฐานมาแสดงว่า ป่วยจริง คือ มีใบรับรองแพทย์ ซึ่งสามารถขอได้ทั้งจากคลินิก รพ.เอกชน หรือ รพ.ใกล้บ้าน” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว

 

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่เคยแจ้งครอบครองกับทาง อย.แล้ว ก็สามารถลงทะเบียนทางอินเตอร์เน็ตได้ เพราะการลงทะเบียนนี้จะช่วยให้ได้ข้อมูลทั่วประเทศไทยว่า ขณะนี้มีคนป่วยใช้กัญชาอยู่กี่คน มีคนป่วยในอนาคตที่มีข้อจำกัดรักษาแผนปัจจุบันและต้องใช้กัญชาแน่ๆ เท่าไร รู้ว่าไทยมีความต้องการใช้กัญชากี่ตันต่อเดือนต่อปี เพื่อพยายามจัดเตรียมกัญชาใช้ทั่วประเทศไทยอย่างถูกต้อง สะอาดบริสุทธิ์ และมีการใช้โดยวิชาการพร้อม

ด้านนายอภิวัฒน์ เฟื่องฟู ทีมพัฒนาระบบอินเทอร์เน็ต กล่าวว่า การลงทะเบียนสามารถเข้าได้ 2 ทาง คือ 1.การสแกนคิวอาร์โคด และ 2.เข้าเว็บไซต์โดยตรง โดยการกรอกข้อมูลจะมี 5 ขั้นตอน คือ 1.กรอกข้อมูลส่วนบุคคล โดยกดเลือก “ยื่นเอกสารใหม่” จะมีให้กรอกคำนำหน้า ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชน จังหวัดที่พักอาศัยปัจจุบัน ภาพบัตรประชาชน ซึ่งจะมีระบบเข้ากล้องอัตโนมัติ สามารถถ่ายบัตรประชาชนแล้วอัปโหลดได้ทันที ซึ่งหากกรอกข้อมูลผิดหรือไม่ครบถ้วน จะไปขั้นต่อไปไม่ได้

2. กรอกข้อมูลอาการผู้ป่วย มี 3 ช่อง โดยช่องแรกเลือกโรคหรืออาการป่วย หากหาโรคไม่เจอ ให้เลือกอื่นๆ และระบุชื่อโรค พร้อมบอกรายละเอียดโรค 3. กรอกข้อมูลใบรับรองแพทย์ จะมีให้เลือก 6 ใบรับรองแพทย์ และใส่ชื่อผู้ประกอบวิชาชีพ เลขประกอบวิชาชีพ และถ่ายภาพรูปใบรับรองแพทย์เพื่ออัพโหลด แต่หากไม่มีใบรับรองแพทย์ ให้เลือกอันสุดท้าย

4. กรอกข้อมูลการครอบครอง คือ ปริมาณที่ต้องใช้ ประเภทกัญชาที่ครอบครอง กรอกรายละเอียดกัญชาที่ครอบครอง เช่น เป็นขวดหรือรูปแบบต่างๆ ของบรรจุภัณฑ์ ปริมาตรต่อซีซี ต่อต้น เท่าไร เป็นต้น และ 5.การยืนยันข้อมูลการลงทะเบียน ระบบจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่กรอกเป็นอัตโนมัติ เพื่อตรวจสอบดูว่า ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องก็ย้อนกลับไปแก้ไข

“ส่วนคนที่เคยแจ้งครอบครองกับ อย.แล้ว ก็สามารถอัพโหลดใบรับแจ้งครอบครองของ อย.เข้าระบบได้ เมื่อลงทะเบียนครบทั้งหมด จะได้เลขรหัส 4 ตัว ซึ่งจะได้ 1 รหัสต่อ 1 คน คนอื่นจะไม่ทราบ โดยให้เอาเลขรหัสนี้มากรอกในหน้าแรกที่เข้าสู่เว็บไซต์ โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และใส่รหัส 4 ตัวเป็นรหัสยืนยัน เพื่อเข้ามาดูข้อมูลว่า กรอกครบหรือไม่ ส่งยืนยันแล้วหรือไม่ได้ตลอดเวลา โดยข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับทางราชการ” นายอภิวัฒน์ กล่าว

ขณะที่ นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้แจ้งครอบครองกัญชาประมาณหมื่นราย แจ้งเข้ามาเยอะขึ้น โดยส่วนกลางตกประมาณวันละ 200 กว่าราย ทั้งนี้ ระบบการแจ้งครอบครองปัจจุบันก็มีความสะดวก สามารถไปแจ้งได้ทุกจังหวัด ใช้เอกสารไม่มาก แต่การลงทะเบียนทางออนไลน์ เป็นเรื่องที่สภากาชาดไทยช่วยอำนวยความสะดวกในการมาแจ้งข้อมูลไว้ก่อนในคนที่ไม่สามารถมาได้ทันหรือเตรียมเอกสารได้ทันในวันที่ 21 พ.ค.นี้ เช่น ลงทะเบียนไว้ก่อนแล้วไปหาใบรับรองแพทย์ เป็นต้น ซึ่งหลังจากวันที่ 21 พ.ค. อย.จะประสานเพื่อมาตรวจสอบว่า หลักฐานครบทั้ง 3 องค์ประกอบหรือไม่ ทั้งข้อมูลส่วนตัว อาการป่วย และใบรับรองแพทย์ ซึ่งหลักฐานทั้งหมดจะต้องครบ จึงไม่ต้องรับโทษ

นพ.สุรโชค กล่าวว่า การลงทะเบียนทางอินเตอร์เน็ต กลุ่มที่แจ้งครอบครองกัญชากับ อย.แล้วก็สามารถลงทะเบียนได้ เพื่อให้ได้ข้อมูลว่า มีผู้ป่วยเท่าไร เป็นโรคที่จำเป็นต้องใช้กัญชาเท่าไร เพื่อจัดกลุ่มว่า คนไหนจำเป็นแค่ไหน ซึ่งส่วนใหญ่ที่แจ้งมาขณะนี้ยังเป็นโรคที่ไม่ควรต้องใช้ ส่วนกลุ่มจำเป็นต้องใช้ตาม 4 โรค เท่าที่แจ้งครอบครองมามีไม่ถึง 100 คน และอีกกลุ่มที่อาจจะต้องใช้ เช่น โรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ มะเร็งระยะสุดท้าย ก็มีพอสมควร

ทั้งนี้ เพื่อวางระบบในการไปหาแพทย์ที่ผ่านการอบรมใช้กัญชา ทำความเข้าใจว่า โรคที่เป็นนั้นจำเป็นต้องใช้กัญชาหรือไม่ โดยต้องอธิบายผลดีผลเสีย และจัดกัญชาที่ถูกกฎหมายให้กลุ่มที่จำเป็นต้องใช้และขาดยาไม่ได้เป็นอันดับต้นๆ ก่อน โดยจะประสานกับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ซึ่งน่าจะได้สารสกัดกัญชาในอีก 2 เดือน จะได้ไม่ต้องไปขวนขวายหาจากใต้ดิน

“สิ่งสำคัญ คือ การมีใบรับรองแพทย์เพื่อรู้ว่าเป็นโรคอะไร เพื่อให้คนไข้รู้ตัวก่อนว่าป่วยจริงหรือไม่ และรู้ว่ากัญชามีประโยชน์และโทษ ซึ่งคนปกติดีไปใช้อาจรับความเสี่ยงจากโทษของกัญชา ต้องรู้ว่าเป็นโรค เมื่อระบุโรคมาก็จะดูว่า โรคนั้นเหมาะสมไม่เหมาะสมอย่างไร วางว่าเขาอยู่พื้นที่ไหน ควรไปหาแพทย์ที่มีความรู้ทั้งแผนปัจจุบันและเรื่องกัญชา ก็จะทำให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง”

“หลายโรคที่มาแจ้งเป็นโรคที่ไม่ควรใช้ เช่น อัมพฤกษ์อัมพาต เป็นต้น หรืออย่างคนที่มีโรคหัวใจ โรคมีความเสี่ยง ซึ่งไม่ถึงกับห้าม แต่เวลาใช้ควรระวัง ถ้าใช้ปริมาณมากกัญชาจะทำให้ความดันเลือดลดลง คนไหนเส้นเลือดตีบอยู่แล้ว เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่ได้ ทั้งสมอง หัวใจ” นพ.สุรโชค กล่าวและว่า กัญชามีทั้งประโยชน์และโทษ กัญชาจึงต้องได้ปริมาณที่เหมาะสม ปลอดภัย ไม่มีสารพิษ ยาฆ่าแมลง ต้องรู้สรรพคุณ โดย อย.มีการติดตามประสิทธิภาพของยา

ส่วน ศ.กิตติคุณ นพ.วงศ์กุลพัทธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการสภากาชาดไทย กล่าวว่า วันที่ 15-16 พ.ค. จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารสภากาชาดไทย ซึ่งจะมีการนำประเด็นเรื่องสภากาชาดไทยจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาการใช้กัญชาทางการแพทย์ของประเทศไทยอย่างไร เข้าที่ประชุมด้วย โดยยึดหลักว่า จะทำอย่างไรให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี เนื่องจากสภากาชาดไทยมีเป้าหมายเพื่อดูแลประชาชนที่ทุกข์ยากด้อยโอกาส อีกทั้งยังมีกาชาดจังหวัดที่กระจายอยู่ทั่วประเทศที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ได้

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์