ผู้เขียน | ไมตรี ลิมปิชาติ /นิตยสารเส้นทางเศรษฐี |
---|---|
เผยแพร่ |
ชีวิตของเศรษฐีตัวจริง ที่เมืองคอน ขายผ้าได้วันละห้าแสนบาท ถึงล้านบาท ใช้หลักการบริหารลูก
น้อง ทำให้ทุกคนอยากอยู่ อยากช่วยงานไปตลอดชีวิต ถึงคราวต้องเสียภาษีก็ครบถ้วนถูกต้องให้เงิน
เข้ารัฐทุกบาททุกสตางค์ แถมกำไรที่ได้ยังแบ่งปันและทำบุญ
ผมกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องและเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันที่นครศรีธรรมราช หรือที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่าเมืองคอน
ทุกครั้งที่ผมกลับเมืองคอนบ้านเกิด ผมจะต้องไปที่วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร หรือที่คนคอนจะเรียก
สั้นๆ ว่าวัดพระธาตุ
ขณะอยู่ที่วัดพระธาตุจึงได้เห็นว่าเจดีย์ซึ่งมียอดทองคำกำลังบูรณะซ่อมแซม
ไม่ได้ซ่อมแซมอย่างเดียวยังได้นำทองคำมาห่อหุ้มยอดให้เหลืองอร่ามเพิ่มขึ้นด้วย เพราะมีผู้บริจาค
เงินคนเดียวถึง 28 ล้านบาท
ผู้บริจาคเงินมีชื่อว่า ‘จิมมี่ ชวาลา’ เป็นพ่อค้าขายผ้า มีร้านค้าชื่อว่า หจก.จิมมี่นคร ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าวัง ถนนราชดำเนิน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของผมในอดีต
ผมอยู่ที่เมืองคอนหลายวัน วันหนึ่งของบางวันผมได้ถือโอกาสไปพบกับคุณจิมมี่
คุณอนันต์ สิงหโกวินทร์ ซึ่งพาผมไปพบเพื่อสัมภาษณ์คุณจิมมี่ได้บอกผมเพิ่มเติมว่า คุณจิมมี่ไม่ได้บริจาคเงินเพื่อซื้อทองคำหุ้มยอดพระธาตุเท่านั้น คุณจิมมี่ยังได้ช่วยเหลือคนด้อยโอกาสทั้งเด็กและผู้ใหญ่เสมอ ให้อาหาร ให้ทุนการศึกษา ให้อาชีพ และยังดูแลพนักงานเป็นอย่างดียิ่ง
พนักงานขายผ้าที่เคยทำงานมาสมัยพ่อนั้น หลังจากทำงานมานานจนมีอายุมากเจ้าตัวขอพักผ่อน คุณจิมมี่ได้ซื้อบ้าน ซื้อที่ดินให้ เพื่อจะได้มีที่พักผ่อนสบายๆ ในบั้นปลายชีวิต พนักงานขายผ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 50 คนนั้นแต่ละคนทำงานกับคุณจิมมี่กันคนละหลายปีกว่า 20 ปีก็มีหลายคน
แสดงให้เห็นว่าคุณจิมมี่มีหลักในการบริหารงาน ทำให้ทุกคนอยากอยู่ อยากช่วยงานไปตลอดชีวิตก็ว่าได้
คุณจิมมี่ได้ให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี ยิ่งรู้ว่าผมเป็นคนเมืองคอนและเคยรู้จักกับพ่อของเขามาก่อน ทำให้การพูดคุยเล่าเรื่องราวในอดีตง่ายขึ้น
จากการได้สนทนากับคุณจิมมี่หลายแง่มุม จึงได้รู้ถึงความเป็นมาของเขาก่อนมาถึงวันนี้ได้อย่างน่ายกย่อง ถ้าจะนำมาเขียนคงต้องยาวมาก จึงขอสรุปเพียงสั้นๆ ดังนี้
พ่อของคุณจิมมี่ชื่อ รามซิงห์ เป็นพ่อค้าขายผ้า แต่ชอบการต่อยมวย จนเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของภาคใต้
หลังจากรามซิงห์เลิกชกมวยก็มีอาชีพขายผ้าอย่างเดียว ในวัยเด็กคุณจิมมี่ได้ช่วยพ่อขายผ้าที่ตลาดนัดเป็นประจำ จนคุณจิมมี่โตพอที่จะช่วยตัวเองได้ พ่อจึงส่งไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดีย ขณะอยู่ที่อินเดีย
มีเรื่องมีราวน่าสนใจมากสำหรับคุณจิมมี่ แต่ขอผ่านไปก่อน
คุณจิมมี่กลับมาอยู่เมืองไทยเริ่มต้นขายผ้าด้วยตนเองในปีพ.ศ. 2518 ก็เมื่อ 41 ปีมาแล้ว ขณะที่เขามีอายุ 18 ปีเท่านั้น
เนื่องจากคุณจิมมี่อยู่กับวงการผ้ามานาน จึงรู้จักผ้าทุกชนิด รู้คุณลักษณะของผ้าเป็นอย่างดี
คุณจิมมี่ไม่ได้รู้แค่คุณภาพผ้าอย่างเดียว ยังรู้ถึงแหล่งผลิตและแหล่งขายด้วย*
ผ้าในร้านของคุณจิมมี่จึงมีทั้งที่ออกมาจากโรงงานในประเทศไทย จากสำเพ็งและส่งโดยตรงมาจาก
ต่างประเทศ
ในร้านจิมมี่นครมีการจัดแบ่งผ้าแต่ละชนิดตามความเหมาะสมโชว์ไว้เป็นล็อก เพื่อความสะดวกกับลูกค้าที่จะเข้ามาซื้อไปใช้หรือขายต่อ
การขายผ้าของคุณจิมมี่ใช้หลักจะต้องเป็นผ้าที่มีคุณภาพดี ราคายุติธรรม และซื่อสัตย์กับลูกค้า แปลว่าจะพูดความจริงบอกความจริงกับลูกค้า
เนื่องจากแต่ละวันมีคนเข้าร้านเป็นจำนวนมาก คุณจิมมี่จะอบรมพนักงานขายทุกคนให้สามารถอธิบายถึงเนื้อผ้าหรือคุณภาพของผ้าได้โดยไม่ติดขัด และ
ประการสำคัญให้การต้อนรับลูกค้าอย่างดียิ่ง คือพูดดีและมีหน้าตายิ้มแย้มต้อนรับแขก
เท่าที่คุณจิมมี่ได้ให้พนักงานพาผมเดินชมผ้าที่วางขายแต่ละห้องแต่ละชั้น ซึ่งมีหลายชั้น จึงมีโอกาสได้
เห็นคนที่มาซื้อผ้าแต่ละชั้นไม่น้อยเลย คนขายก็ตั้งใจขาย คนซื้อก็ตั้งใจซื้อ
วันหนึ่งๆ น่าจะขายได้รวมทั้งขายส่งไม่น่าจะต่ำกว่า 500,000 บาท หรือบางวันก็ต้องได้เป็นล้านบาทขึ้นไป
แน่นอน จะต้องได้กำไรแต่ละเดือนแต่ละปีมากแน่ๆ แต่เป็นความมากที่น่ารัก น่ายกย่อง เพราะคุณจิมมี่เป็นพ่อค้าที่ได้กำไรมาแล้ว ไม่ได้เก็บไว้เป็นของตัวเองทั้งหมด คือนอกจากเสียภาษีให้รัฐเต็มเม็ด เต็มหน่วยแล้วยังได้นำส่วนที่มีกำไรแบ่งปันและทำบุญดังกล่าวข้างต้น
เศรษฐีส่วนใหญ่เป็นได้เพียงมีชื่อว่าเป็นเศรษฐีเท่านั้น เพราะไม่เคยบริจาคให้ใครหรือทำบุญก็แทบไม่มี ถ้ามีก็ไม่มากเท่าคุณจิมมี่
เมื่อรู้ว่าคุณจิมมี่บริจาคเงิน บริจาคทองและช่วยเหลือคนจนคนด้อยโอกาสแต่ละปีเป็นจำนวนมากๆอย่างนี้ทำให้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ในอนาคตคุณจิมมี่อาจจะต้องยากจนเพราะการทำบุญทำทานก็เป็นได้
สำหรับเรื่องนี้ คุณจิมมี่บอกเองว่าไม่ต้องห่วงเลย เพราะเขาเอาส่วนที่ได้กำไรมาทำบุญ ไม่ได้เอาทุนมาทำบุญหรือใช้เงินทำบุญไปก่อน โดยไม่รู้ว่าจะมีกำไรหรือไม่
อีกอย่างหนึ่งที่คุณจิมมี่เล่าให้ฟังด้วยความภูมิใจก็คือ เมื่อไม่นานมานี้ คุณจิมมี่ได้ซื้อที่ดินใจกลางเมือง
คอนแปลงหนึ่ง ด้วยเงิน 90 ล้านบาท
ตอนไปโอนที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัด มีคนแนะนำคุณจิมมี่ให้แจ้งว่าใช้เงินซื้อที่ดินเพียง 20 ล้านบาท
ตามราคาประเมินก็พอ เพราะจะได้เสียภาษีค่าโอนน้อยลง
แต่คุณจิมมี่ไม่ได้ทำตาม ยอมเสียค่าโอนแพงตามราคาที่ได้ซื้อจริงโดยเสียเงินค่าโอนไปกว่า 2 ล้าน
บาท เพราะต้องการให้เงินที่เสียไปเข้าหลวง ไม่ได้เข้าใครคนหนึ่งคนใด
ผลของการทำเช่นนี้ทำให้มีผลดีกับคุณจิมมี่ตามมา เพราะหลังจากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่สรรพพากรได้มา
ตรวจสอบรายได้รายจ่ายและอื่นๆ ของคุณจิมมี่ ผล ทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีอะไรที่ทำให้กรมสรรพากร
เรียกภาษีย้อนหลังได้ ที่สำคัญไม่ทำให้คุณจิมมี่เสียชื่อด้วย นับว่าคุณจิมมี่ไม่ได้เป็นเศรษฐีใจบุญอย่างเดียว ยังเป็นคนดีอีกด้วย