‘นก พัทธ์ธีรา’ เจ้าของไอเดียสุดครีเอทีฟ ที่พาขนมเปี๊ยะไทย ไปร่วมงานกับการ์ตูนดังระดับโลก

รู้จัก ‘นก พัทธ์ธีรา’ เจ้าของไอเดียสุดครีเอทีฟ ที่พาขนมเปี๊ยะไทย ไปร่วมงานกับการ์ตูนดังระดับโลก

 

คนฉลาดมักหาโอกาสจากวิกฤตเสมอ ‘นก-พัทธ์ธีรา พุ่มโพธิสุวรรณ’ คือหนึ่งในคนเหล่านั้นที่ลุยปลุกปั้นแบรนด์ ‘BaanBan – บ้านบ้าน อาหารจากคนที่บ้าน’ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสพันธุ์ใหม่ที่ชื่อ โควิด-19 แม้จะฟังดูดีที่ผู้หญิงคนนี้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่แท้จริงแล้วกว่าจะมาถึงวันนี้ เส้นทางที่เดินมาไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนคิดเลย

จากปรากฏการณ์คนต่อแถวซื้อขนมเปี๊ยะจนห้างแตก นำพาเรามาที่บ้านบ้านคาเฟ่ ที่ตั้งอยู่สยามสแควร์วัน ซอย 5 เพื่อพูดคุยกับ นก พัทธ์ธีรา เจ้าของไอเดียสุดสร้างสรรค์ ถึงเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของชีวิต ตั้งแต่วัยเด็กจนมาเป็นเจ้าของแบรนด์ที่พาขนมของไทยไปร่วมงานกับการ์ตูนดังระดับโลก

ชีวิตในวัยเด็ก ที่ต้องเชื่อฟัง ห้ามแตกต่าง อย่ามีปากเสียง

คุณนกในวัย 29 ปี เล่าถึงช่วงชีวิตตัวเองในวัยเด็กให้เราฟังว่า เนื่องจากพ่อแม่แยกทางกันตนเองเลยต้องย้ายมาอยู่กับคุณป้า  ซึ่งตลอดระยะหลายปีที่ผ่านมาแม้ทุกคนจะพยายามทำหน้าที่ในการส่งเสียเลี้ยงดูเธออย่างดีที่สุด แต่ในด้านความรู้สึกของเด็กหญิงนกในตอนนั้นกลับบอบช้ำอย่างบอกใครไม่ได้

“ครอบครัวอาจไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเราโดยตรง แต่ด้วยนกเติบโตมากับครอบครัวสมัยเก่าที่มีความคิดแบบคนสมัยก่อน ชอบตัดสิน ห้ามแตกต่าง ต้องเชื่อฟัง ไม่ให้คิดต่าง ห้ามโต้แย้ง เช่น ถ้ามีผู้หญิงใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้นเดินผ่านเขาก็จะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนไม่ดี หรือเมื่อตอนเด็กกินก๋วยเตี๋ยวแล้วเผ็ด ผู้ใหญ่ก็ว่าเราเป็นเด็กขี้โกหก เพราะในถ้วยไม่มีพริกสักนิดจะเผ็ดได้ไง ตอนนั้นเราก็อธิบายไม่ได้ว่าเผ็ดอะไร จนโตมาถึงรู้ว่าที่เราเป็นไม่ใช่พริกแต่เป็นเพราะพริกไทย”

เธอในวัยตอนนั้นเติบโตมากับเหตุการณ์แบบนี้มาทั้งชีวิต จนทำให้เด็กหญิงที่ร่าเริงค่อยๆ เงียบลงและกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปในที่สุด

ดนตรี ศิลปะ หนังสือ สิ่งที่ปลอบประโลมหัวใจ

ความโชคดีอย่างหนึ่งของคุณนกในตอนนั้นคือ ที่บ้านสอนดนตรีและศิลปะจึงทำให้เธอชอบเล่นดนตรีและวาดรูป ซึ่งมันกลายเป็นตัวช่วยในการเยียวยาสภาพจิตใจของเธอ ขณะเดียวกัน กิจกรรมเหล่านี้ก็ช่วยฝึกพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี

และตอนนั้นเพราะอ่านหนังสือเยอะขึ้น ได้พูดคุยกับคุณครูจึงทำให้คุณนกได้เห็นแนวคิดในมุมอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่คำสอนจากคนในครอบครัว นั่นจึงเป็นที่มาของคำถามมากมายในชีวิตว่า ‘ทำไมครอบครัวเราถึงมีแนวความคิดแบบนี้’

เมื่อโตมาจึงเป็นที่มาที่คุณนกตัดสินใจเลือกเรียนคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อที่จะได้เข้าใจครอบครัวตัวเอง เข้าใจวิธีคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ ในปีเดียวกันเธอเลือกจะเรียนวิชาโทเป็นหลักสูตร การประชาสัมพันธ์ เพิ่มทักษะการสื่อสาร และการตลาด ซึ่งสาขาวิชาเหล่านี้จะเป็นสกิลพื้นฐานในการสร้างธุรกิจของเธอในอนาคต

“ตลอด 4 ปี ในรั้วมหา’ลัยกับเส้นทางที่เลือกบอกเลยว่ามีความสุขมาก เพราะเป็นพื้นที่ที่เราตามหามาตลอด สนุกกับการเรียนรู้ ทั้งการสื่อสาร การผลิตสื่อ มีอะไรใหม่ๆ ให้ทำอยู่เสมอ ยิ่งพอเรียนคู่กับวิชาเอกที่เป็นการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมและมนุษย์แล้ว เรายิ่งรู้สึกว่าใช่สุดๆ”

ชีวิตวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยแพชชัน

ด้วยแพชชันที่มีมากจนล้น ทำให้ชีวิตมหาวิทยาลัยคุณนกเธอกลายเป็นเด็กกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น ดีเจ นักข่าว พิธีกร ก็ทำมาหมด รวมถึงการลงแข่งขันของ ‘Lisa Guru Digitorial Search’ กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นิสิต-นักศึกษา ที่มีใจรักในงานดิจิทัล และฝันอยากจะเป็นนักสร้างคอนเทนต์ บล็อกเกอร์ ยูทูบเบอร์ หรือ อินฟลูเอนเซอร์ เข้าร่วมทำหนังสั้น เขียนบล็อก คิดคอนเทนต์ ซึ่งคุณนกได้รางวัลที่ 2 ของประเทศ

“หลังจากนั้นก็มีผู้ใหญ่ติดต่อมาให้รับงานกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยให้เขียนบล็อกเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ซึ่งปรากฏว่าบทความนั้นมีคนชอบไลก์และแชร์เยอะมาก ถือเป็นสิ่งที่ช่วยเติมไฟในตัวเราตอนนั้นได้เป็นอย่างดี ว่าที่กำลังทำอยู่ถูกต้องและถูกทาง”

เมื่อมั่นใจว่าการทำคอนเทนต์คือสิ่งที่ใช่ เธอก็เดินหน้าลุยงานในสายคอนเทนต์และการตลาดอย่างเต็มตัว บนเป้าหมายว่าสักวันจะต้องมีธุรกิจของตัวเองให้ได้ เธอเลือกที่จะทำงานในบริษัทเล็กๆ เพื่อที่จะได้เรียนรู้ทั้งระบบว่ากว่าจะเป็น 1 บริษัทได้ต้องมีและทำอะไรบ้าง นอกจากนั้น ด้วยเป็นคนชอบทำงานอยู่นิ่งไม่ค่อยเป็น ตอนทำงานประจำเธอก็ทำฟรีแลนซ์ไปด้วย

“เพราะเป็นคนชอบเรียนรู้ ชอบพาตัวเองไปหาประสบการณ์ เราก็เลือกรับงานฟรีแลนซ์เกี่ยวกับการตลาดในหลายแวดวง ทั้งวงการอาหาร เครื่องดื่ม แฟชั่น เสื้อผ้า เทคโนโลยี ทำมาเรื่อยๆ จนมาช่วงโควิด-19 ระบาดหนักๆ หลายบริษัทก็ให้พนักงานออกรวมถึงเราด้วย ซึ่งนั่นแหละคือที่มาของการเริ่มทำแบรนด์อีกครั้งตอนอายุ 26 ปี”

 

วัยทำงานกับการเป็นเจ้าของกิจการตอนอายุ 26 ปี

คุณนก เล่าให้เราฟังเพิ่มว่า แบรนด์บ้านบ้าน อาหารจากคนที่บ้าน เกิดขึ้นจากช่วงโควิด-19 ที่เธอตกงานและยังต้องกักตัว ด้วยความที่ครอบครัวเป็นห่วงกลัวไม่มีอาหารกิน ที่บ้านเลยส่งขนม อาหาร ของหวาน ของคาวมาให้เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น หมูแดดเดียว ไส้อั่ว ขนมเปี๊ยะไส้ต่างๆ ด้วยปริมาณที่มาก บวกกับรสชาติอร่อย และอยากหารายได้ เธอและแฟนคือ ‘คุณฟลุค-สุวิทวัส ตรีแสงศรี’ Art Director คนสำคัญของแบรนด์บ้านบ้าน ที่วางรากฐานภาพลักษณ์จนเป็นที่สะดุดตาของแบรนด์ในปัจจุบัน จึงปิ๊งไอเดียการนำอาหารที่บ้านมาขายออนไลน์ขึ้น

“เพราะขายดี ขายได้ ขายเยอะ เราจึงเริ่มเอาจริงเอาจังกับการทำแบรนด์ขึ้นมา โดยตั้งชื่อว่า บ้านบ้าน-อาหารจากคนที่บ้าน เพราะอาหารที่ขายทุกชิ้นมาจากที่บ้านจริงๆ จากนั้นแฟนของนกก็ออกแบบโลโก้ นกก็เปิดเพจสินค้า ช่วยกันถ่ายรูป เขียนแคปชัน ลองโพสต์ขาย ลองทำคอนเทนต์ ลองยิงโฆษณากันเอง และใช้สกิลที่เรียนและทำงานมาทุ่มให้กับการทำธุรกิจครั้งนี้ทั้งหมด”

เมื่อความต้องการเพิ่มสูงขึ้น แต่แรงของคนที่บ้านไม่เพิ่มตามไปด้วย คุณนกกับแฟนจึงตัดสินใจขยายฐานการผลิต มีการสร้างโรงงาน วางงานให้เป็นระบบ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการซื้อของลูกค้า เริ่มจากเรียนรู้เรื่องต้นทุน การตัดสต๊อก การแบ่งหน้าที่ การวัดผล KPI ต่างๆ แล้วก็เริ่มหาทีมงานที่มีประสิทธิภาพและแนวคิดตรงกับเธอเข้ามาทำ

คอลแลบได้เรื่อง จนเป็นตำนานขนมเปี๊ยะห้างแตก

คุณนก บอกว่า ช่วงแรกเนื่องจากไม่มีเงินทุนมากพอ จึงต้องใช้วิธีการไปคอลแลบกับแบรนด์อื่นๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง โดยครั้งแรกเธอไปขอร่วมโปรเจ็กต์กับ ‘เชฟเอ๋-อนุพงษ์ นวลฉวี’ ท็อปเชฟระดับประเทศที่เชี่ยวชาญในเรื่องขนมหวาน ซึ่งโปรดักต์ที่ได้มาคือ ขนมเปี๊ยะไส้เรดเวลเวทครีมชีส และแชมปิญองทรัฟเฟิล ด้วยรสชาติที่แปลกใหม่ ได้เชฟระดับประเทศ รวมถึงวิธีทำการตลาดขั้นเทพของเธอ บวกกับความสะดุดตาของร้านจากการออกแบบของคุณฟลุค ทำให้วันเปิดตัวคนต่อคิวยาวมาก เยอะจนกลายเป็นตำนานของ #ขนมเปี๊ยะบ้านบ้าน #ขนมเปี๊ยะห้างแตก ในตอนนั้น

“จากนั้นเราก็พัฒนาต่อเรื่อยๆ มีคอลแลบกับดาราบ้าง เชฟบ้าง จนเริ่มขยายฐานการผลิต มีสร้างโรงงาน มีเปิดหน้าร้านหลักประจำที่สยามสแควร์ ซอย 5 ชื่อ ‘บ้านบ้านคาเฟ่’ คาเฟ่ที่ออกแบบและตกแต่งด้วยสีแดงตัดทอง ให้กลิ่นอายคล้ายร้านน้ำชาของจีน เมนูในร้านก็มีขนมเปี๊ยะให้เลือกหลากหลายแบบ ทั้งไส้ซิกเนเจอร์ ไส้พิเศษ และไส้ลาวา ที่มาพร้อมเครื่องดื่มร้อน-เย็น มากมาย”

ใช้ความครีเอทีฟ นำพาธุรกิจให้เติบโต จนกลายเป็นที่ยอมรับของการ์ตูนดังระดับโลก

หนึ่งกลยุทธ์เด็ดของคุณนกที่เราเห็นผ่านการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ คือเธอมีพรสวรรค์ในการพูดคุยกับคน ทำให้มีข้อมูลอินไซต์และเข้าใจกลุ่มลูกค้าของ BaanBan มากขึ้น ว่าชอบหนังแนวไหน ดูการ์ตูนเรื่องอะไร หรือหนังสือที่ถูกใจเป็นของนักเขียนท่านใด เธอเอาข้อมูลตรงนี้มาต่อยอดจนเกิดเป็นโปรเจ็กต์คอลแลบกับการ์ตูนระดับโลกขึ้น ท่ามกลางเสียงคัดค้านว่า “จะเป็นไปได้ยังไง แบรนด์เล็กๆ แบบนี้เขาไม่สนใจหรอก”

“เราสลัดทุกเสียงคัดค้านและนำเอาทุกอย่างที่เรามีทั้ง Passion, Creativity มาหลอมรวมเป็นพลังความกล้า ในการคิดโปรเจ็กต์เพื่อนำเสนอกับแบรนด์คาแร็กเตอร์ว่า อยากสร้างสรรค์โปรดักต์ใหม่อะไรให้โลกนี้ สอดคล้องกับตัวคาแร็กเตอร์อย่างไร และมันสามารถจุดประกายอะไรให้ทั้งผู้บริโภคและตัวแบรนด์คาแร็กเตอร์บ้าง

“ด้วยความที่เราเป็นแบรนด์เล็ก ก็ไม่ได้มีใครสนใจมากนัก แต่ทุกครั้งที่โดนปฏิเสธ เราก็คิดใหม่ แก้ใหม่ ทำใหม่ พยายามพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ทีมเราดีมาก คอยให้กำลังใจและซัพพอร์ตเราตลอด จนเราได้รับโอกาสจากทางพาร์ตเนอร์หลักคือ Dex บริษัทตัวแทนที่ถือลิขสิทธิ์การ์ตูนดังหลายเรื่องในเมืองไทย ที่เชื่อในตัวเราให้โอกาสเราได้คิดได้แก้ไข จนสามารถนำเสนอโปรเจ็กต์ผ่านและได้ลองเริ่มทำงานกับพาร์ตเนอร์ระดับโลกได้”

Conan The Movie ภาค The Bride Of Halloween

งานแรกของ BaanBan คือการทำร่วมกับ Conan The Movie ภาค The Bride Of Halloween ด้วยการนำเรื่องราวจากเมืองชิบูย่า กรุงโตเกียวที่เป็นย่านที่เกิดเหตุของภาพยนตร์มาสร้างเป็นโปรดักต์ใหม่ เกิดเป็นขนมเปี๊ยะ 3 สี 3 รสชาติ คือ ไส้แกงกะหรี่ญี่ปุ่น ไส้ไก่ย่างเทริยากิ ไส้เบคอนแชมปิญองมิโซะ ที่ออกแบบรสชาติโดย เชฟต่าย Top Chef Thailand พร้อมออกโปรโมชันและของแถม มาเอาใจแฟนๆ โคนันด้วย

 One Piece Film : Red

เมื่อปลดล็อกงานแรกได้งานสองก็มา! ครั้งนี้เกิดเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ ‘BaanBan X One Piece Film Red Collection’ ด้วยการนำของโปรดของเหล่าตัวละครมาทำเป็นไส้ขนมเปี๊ยะ อย่าง ขนมเปี๊ยะลูฟี่ ไส้ไก่ย่างบาร์บีคิว ขนมเปี๊ยะแชงค์ส ไส้รัมเรซิ่น ขนมเปี๊ยะอุตะ ไส้พีชชีสเค้ก ที่มีความพิเศษทั้ง รูป รส กลิ่น สี แตกต่างกันไป

และยังออกสินค้าพรีเมียมมาให้เหล่าสาวกวันพีชได้สะสมแบบจุกๆ ทั้งเทียนหอม แรงกิ้งการ์ด สติกเกอร์คาแร็กเตอร์ และวอลล์เปเปอร์ สมาร์ทโฟนสุดเท่ ที่มีให้เลือกถึง 14 ตัว ซึ่งครั้งนี้คุณนกได้กลับมาร่วมงานกับทั้งเชฟเอ๋ Top Chef Thailand และแบรนด์เทียนหอมชื่อดังอย่าง Aramo Aroma ด้วย

Conan The Movie : Black Iron Submarine Collection

ล่าสุด ‘Baanban X DectiveConan’ ซึ่งครั้งนี้ถือว่าเป็นเกียรติมากที่ทางญี่ปุ่นบินมาคุยกับคุณนกและคุณฟลุคด้วยตัวเอง มานั่งเล่าเรื่องราวให้ฟังว่าโคนันในภาคนี้เป็นแบบไหน แล้วทางแบรนด์คิดแบบไหน สามารถทำอะไรได้บ้าง

ในภาคนี้นอกจากเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอาคารใต้ทะเลที่สร้างขึ้นในอ่าวของเกาะฮะจิโจของโตเกียว ซึ่งตัวเดินเรื่องหลักๆ จะเป็นองค์กรชุดดำ ดังนั้น ความพิเศษของขนมและเครื่องดื่มในคอลเล็กชัน ทีมงานจึงร่วมกันออกแบบเป็นขนมเปี๊ยะ GIN ไส้ APTX4869 ได้แรงบันดาลใจจากยาที่ทำให้โคนันร่างเล็กลง ต่อด้วยขนมเปี๊ยะ Conan ไส้พายเลมอน ได้แรงบันดาลใจจากของโปรดของ คุโด้ ชินอิจิ และสุดท้าย ขนมเปี๊ยะ Haibara ไส้ เชอร์รีวอชิงตันแคนดี้ จากโค้ดเนม Sherry สู่คำพ้องเสียง Cherry จนเกิดไอเดียขนมเปี๊ยะรสเชอร์รีสุดพิเศษ

ส่วนเครื่องดื่ม ลิ้นจี่ บลู ซับมารีน คุณนก บอกว่า ตัวลิ้นจี่ บลู เปรียบเสมือนกับน้ำทะเล ขณะที่อัญชันเลมอนป๊อปปิ้งโบบา ให้ทุกคนจินตนาการว่าเป็นเรือดำน้ำก็แล้วกัน!

“คอลเล็กชันนี้แฟนๆ ชอบมาก รอบนี้มีคนมาต่อคิวรอล่วงหน้า 1 คืน มีคนมาต่อคิวรอหน้าร้านเกือบร้อยคิว เพราะกลัวของหมด ด้วยขนมเรามีจำกัดต่อวัน เพราะทำมือเองทั้งหมด เห็นอย่างนี้ความเหนื่อยทั้งหมดที่มีแทบจะหายไปเลย”

คุณนก บอกว่า ทุกโปรเจ็กต์ของแบรนด์ BaanBan ถือเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่กล้านำขนมเปี๊ยะมารังสรรค์เป็นแบบต่างๆ ผ่านการร่วมงานกับเชฟระดับประเทศ ทั้งยังได้ร่วมงานกับการ์ตูนดังระดับโลก ซึ่งไม่เพียงแต่ตนเองมีความสุข มากกว่านั้นคือลูกค้ามีความสุขมากขึ้น เมื่อขนมที่ชอบอยู่คู่กับการ์ตูนสุดโปรด

“เรามองว่าการเอา 2 สิ่งที่ดูเหมือนไปกันไม่ได้ มาสร้างสรรค์ให้ไปด้วยกัน มันคืองานศิลปะชิ้นหนึ่ง มันคือความครีเอทีฟ ซึ่งตอนนี้ความครีเอทีฟคือชีวิต คือตัวตนของเราไปแล้ว และได้กลายเป็นตัวตนของแบรนด์เราไปแล้วด้วย”

ความสำเร็จในวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสร้างสรรค์ของเธอนำพาให้แบรนด์ ‘บ้านบ้าน’ เติบโตขึ้นไปแบบก้าวกระโดด ดังนั้น คุณนก จึงทิ้งท้ายว่า อย่ากลัวที่จะคิดต่างอย่างสร้างสรรค์ เพราะความสร้างสรรค์จึงทำให้โลกพัฒนา เพราะความสร้างสรรค์จึงเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้นได้ และด้วยความเชื่อมั่นของเธอ จึงทำให้เราเห็นภาพของการยกระดับวงการขนมไทยในวันนี้ และเชื่อว่าจะเห็นการเติบโตของเธอและสิ่งที่เธอรักอีกต่อไปในอนาคต