เปิดข้อมูล 80% คนไทยกินอาหารเกินความจำเป็นต่อร่างกาย ต้นเหตุอ้วน-โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่โรงแรมเซ็นจูรี่พาร์ค ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย  กล่าวภายในเวทีการอบรมแนวคิด “มีสุขภาพดี…คุมได้ แก้ไขได้ทัน…สรรค์ความช่วยเหลือ” โดยเป็นการอบรมทีมแพทย์ บุคลากร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน จากทั่วประเทศกว่า100คน ว่า  สำหรับแนวคิดของโครงการนี้ จะประกอบด้วย4กรอบหลัก คือ1.การทำให้ มีสุขภาพดี 2.หากมีโรคประจำตัว หรือเจ็บป่วย ฉุกเฉินใด ผู้ป่วยหรือญาติสามารถดูแลและ ควบคุมโรคประจำตัว หรือการเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3.หากมีอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินรุนแรง ผู้ป่วย หรือญาติ ควรทราบวิธี ช่องทางในการสอบถาม วิธีการแก้ไขเบื้องต้น หรือติดต่อขอรับบริการการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 ได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม และ4.การเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ ให้พร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีการเจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้น เสียชีวิตได้อย่างเหมาะสมเมื่อพบผู้ประสบเหตุ

ศ.นพ.พินิจ กุลละวณิชย์  ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่าร้อยละ 70  ของประชากรโลกที่เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนี้ เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ละเลยการออกกำลังกาย สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 2556 พบว่า สาเหตุการตายของคนไทย  3 อันดับแรกคือ  มะเร็ง อุบัติเหตุ โรคหัวใจและหลอดเลือด ตามลำดับ สิ่งที่จะทำให้ประชาชนไม่เสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและเจ็บป่วยฉุกเฉินคือ การออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก รวมทั้งดัชนีมวลกายให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารเสพติด มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย มีการป้องกันที่ถูกต้อง นอกจากจะลดการติดโรคที่มาจากเพศสัมพันธ์แล้วยังเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้อีก รวมทั้งมีตรวจร่างกายตามวัย ตามเพศ ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเหมาะสม

“สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงคือ คนไทยมีการกินอาหารที่มากเกินความจำเป็นต่อร่างกาย ทำให้เสี่ยงเกิดภาวะอ้วนมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่อ้วน หรือภาวะน้ำหนักเกิน เสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆได้ เช่น โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ” รศ.นพ.พินิจ กล่าว

นางศัลยา คงสมบูรณ์เวช ประธานฝ่ายวิชาการสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาการกินอาหารของคนไทยส่วนมากมุ่งเน้นไปที่รสชาติและหน้าตาของอาหารมากกว่าจะคำนึงถึงคุณค่าสารอาหาร นอกจากนี้ ยังมีการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล โซเดียม แป้ง ไขมัน แฝงเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้แคลอรี่เกิน สำหรับตัวอย่างของหวานและเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่เกินความจำเป็นที่เห็นกันอยู่เสมอ เช่น ชานมไข่มุก กาแฟเย็นรสต่างๆ เบเกอรี่ ขนมหวาน

“จากประสบการณ์ที่ดูแลผู้ป่วย พบว่า มีประชาชนเพียง20% โดยประมาณที่บริโภคอาหารถูกต้อง ส่วนที่เหลือ80%เป็นการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ได้รับสารอาหารไม่สมดุลต่อร่างกาย เช่น บางคนไม่กินผักหรือผลไม้ บางคนกินแป้ง ไขมัน โซเดียมมากเกินควร ส่งผลให้ได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วน เมตาโบลิกซินโดรม และกลุ่มโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ ส่วนวิธีการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างง่ายๆในการป้องกันโรค คือ ลดความหวาน มัน เค็ม รับประทานผักที่หลากหลายสี ผลไม้ที่หลากหลายชนิดตามฤดูกาล วันละ2 ชนิดในปริมาณพอสมควร ข้าว แป้ง โปรตีนหรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อย่างละ1/4ของมื้ออาหารที่รับประทาน ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ วันละ1-2ครั้ง ก็จะได้รับสารอาหารครบทุกหมู่ และได้รับสารอาหารสมดุล” นางศัลยา กล่าว