วลาดิวอสต๊อก 2016 ซานฟรานซิสโกแห่งรัสเซีย

ได้ยินชื่อเมืองวลาดิวอสต๊อก (Vladivostok) ของรัสเซียมานานตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ จำได้ว่าเป็นเมืองท่าสำคัญแห่งหนึ่งของโลก และเป็นสถานีปลายทางของเส้นทางรถไฟทรานส์ไซบีเรีย (Trans-Siberian) ที่ยาวที่สุดในโลก

ไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะได้ไป เนื่องจากไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตที่ผู้คนนิยมชมชอบกัน โชคดีที่ทาง คุณเอื้อมพร จิรกาลวิศัลย์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานมอสโก ชวนไปทำข่าวงาน Amazing Thailand Health and Wellness Roadshow 2016 เมื่อไม่นานมานี้ ในเมืองหลัก ได้แก่ วลาดิวอสต๊อก คาบารอฟสค์ และ ยูนูธ ซาคาลินสค์ ซึ่งอยู่ทางซีกตะวันออกไกลของรัสเซียที่ค่อนมาทางประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และจีน

img_7387

คุณเอื้อมพร จิรกาลวิศัลย์ (กลาง) ถ่ายรูปกับเอเย่นต์ทัวร์ของรัสเซียที่มาใช้บริการนวด

ปกติถ้าไปกรุงมอสโกต้องนั่งเครื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิไปลงที่นั่นเลย แต่สำหรับทริปนี้บรรดาผู้ประกอบการโรงพยาบาลและสปากว่า 10 ราย รวมทั้ง คุณรุ่งทิพย์ ว่องปฏิการ คิมูระ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการบริการการท่องเที่ยว ททท. ต้องนั่งเครื่องไปลงที่สนามบินอินชอน (Incheon) จากนั้นเปลี่ยนเครื่องต่อไปยังเมืองวลาดิวอสต๊อก

img_9219

                             อาคารบ้านเรือนก่อสร้างบนเนินเขาที่ลดหลั่นกันไป

ชอบใจสนามบินอินชอน

ช่วงนั่งรอหลายชั่วโมงในสนามบินแห่งนี้ ได้เข้าไปใช้บริการศูนย์วัฒนธรรมของเกาหลีที่มีการนำชุดประจำชาติของเกาหลีทั้งชาย-หญิงมาให้ได้สวมใส่และถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่เสียสตางค์แต่อย่างใด แค่โชว์บัตรโดยสารเท่านั้น แถมยังมีเจ้าหน้าที่สาวสวยคอยช่วยแต่งตัวให้เต็มยศ และบริการถ่ายรูปให้ด้วย เป็นอะไรที่นักข่าวไทยอย่างเราชื่นชมจริงๆ และอยากให้สนามบินของไทยมีแบบนี้บ้างเพราะนอกจากจะทำให้ชาวต่างชาติได้รู้จักเครื่องแต่งกายประจำชาติแล้ว ยังได้เก็บความทรงจำดีๆ นี้กลับไปด้วย

img_7052

คุณเพ็ญรุ่ง ใยสามเสน นักข่าวคนเก่ง กับชุดประจำชาติของสาวเกาหลี

จากสนามบินอินชอนไปยังวลาดิวอสต๊อกใช้เวลาบินประมาณ  2 ชั่วโมงกว่า แต่ถ้านั่งเครื่องมาจากมอสโกใช้เวลา 9 ชั่วโมง ตอนอยู่บนเครื่องแอร์โฮสเตสแจกแซนด์วิชแซลมอนรมควันให้ เลยจัดการเสียเรียบด้วยความหิว ช่วงทานอยู่นั้นก็รู้สึกว่าทำไมเนื้อแซลมอนนี้ช่างเค็มจัง ขณะที่ผู้ร่วมคณะบางคนทานไม่เป็น เรื่องนี้ถึงบางอ้อเมื่อคุณเอื้อมพรเฉลยให้ฟังว่า คนรัสเซียชอบรสเค็มมาก ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่จะออกเค็มไว้ก่อน และไม่ใช่เค็มธรรมดาประเภทเค็มสุดๆ ว่างั้นเถอะ

img_7362

                           สาวเล็กสาวใหญ่รุมซื้อสินค้าของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

ครั้งนี้จะขอเล่าถึงเฉพาะเมืองวลาดิวอสต๊อกเมืองเดียวก่อน เพราะอยากให้ได้เห็นภาพสวยๆ ของเมืองนี้อย่างจุใจ ซึ่งที่นี่มีอะไรหลายอย่างน่าสนใจ ที่สำคัญคือ เป็นจุดหมายของเหล่าแบ็กแพ็กเกอร์จากยุโรปที่มุ่งหน้าไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียทางทะเล เพราะสามารถนั่งเรือเฟอร์รี่ ใช้เวลา 20 ชั่วโมง ไปยังเมืองดงเฮ (Donghae) เกาหลีใต้ และต่อไปยังเมืองซาไกมินาโตะ (Sakaiminato) ของญี่ปุ่น ใช้เวลาเดินทาง 15 ชั่วโมง

ขณะที่เหล่าแบ็กแพ็กเกอร์สายแข็งชอบนั่งรถจากดงเฮต่อไปที่เมืองอินชอน หรือ พย็องแท็ก (Pyeongtaek) เพื่อโดยสารเรือจากเกาหลีสู่จีน แล้วต่อรถไฟหรือรถบัสล่องใต้ลงสู่อาเซียนไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ลาว กัมพูชา ไทย และมาเลเซีย

img_7495

ด้านหน้าของสถานีรถไฟวลาดิวอสต๊อกยามค่ำคืน

จุดสิ้นสุดรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย

ก่อนอื่นมารู้จักเมืองนี้กันก่อน วลาดิวอสต๊อก ในภาษารัสเซียชื่อเมืองนี้แปลว่า “ผู้ปกครองแห่งตะวันออก” ส่วนภาษาจีนรู้จักกันในชื่อ “ไห่เซินไหว่” หมายถึง “บึงปลิงทะเล” มีพื้นที่ประมาณ 600 ตารางกิโลเมตร มีประชากรกว่า 600,000 คน มีชาวเกาหลีและจีนจำนวนมาก ทั้งยังเป็นชุมชนชาวอาร์เมเนียที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของรัสเซียอีกด้วย

สนามบินของวลาดิวอสต๊อกไม่ใหญ่เท่าใด ผู้คนก็ไม่เยอะ พอมาขึ้นรถบัสเพื่อที่จะไปยังโรงแรม พวกเราต่างแปลกใจที่โชเฟอร์แต่งชุดแบบสบายๆ จริงๆ คือ สวมกางเกงขาสั้น และให้ความเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ผิดกับโชเฟอร์เมืองอื่นๆ ที่เคยไปมา ส่วนใหญ่แล้วจะสวมกางเกงขายาวแต่งตัวเรียบร้อย

ถนนหนทางจากสนามบินไปยังตัวเมืองกว้างขวางมาก น่าจะ 6 เลนเห็นจะได้ รถราวิ่งได้สะดวก มีสะพานลอยเป็นระยะๆ ซึ่งมีหลังคาด้วย โดยจะมีสีแตกต่างกันไป มีอยู่จุดหนึ่งที่มีรูปปั้นเสือ โชเฟอร์อธิบายว่าเมืองนี้แต่ก่อนเป็นป่าทึบและมีเสือชุกชุม

แม้ถนนหนทางจากสนามบินมายังตัวเมืองจะกว้างขวาง แต่ก็ลดขนาดลงเรื่อยๆ ทำให้ในตัวเมืองบางช่วงเวลาเช่นเย็นๆ รถติดเพราะคนกำลังจะกลับบ้านที่อยู่นอกเมือง ประกอบกับคนในเมืองนี้นิยมใช้รถกันเป็นส่วนใหญ่ บางบ้านมี 2-3 คัน

img_7165

มัสยิดสวยๆ ที่เห็นช่วงนั่งรถผ่าน

โรงแรมที่เราไปพักวิวสวยมากมองออกไปเป็นตัวเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยผืนน้ำใหญ่ เป็นโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวมาพักกันเยอะ ที่เห็นเป็นนักท่องเที่ยวจีนบ้างก็มาเที่ยว บ้างก็มาทัศนศึกษา สังเกตได้ว่าอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในเมืองนี้มีการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก แบบตะวันออก และแบบรัสเซีย

คุณเอื้อมพร พูดถึงเมืองนี้ให้ฟังว่า วลาดิวอสต๊อกเป็นเมืองท่า เมืองธุรกิจระดับนานาชาติ คนที่นี่จึงมีความทันสมัย และมีความหลากหลายในเรื่องวัฒนธรรม เป็นเมืองธุรกิจที่ผู้คนมีประสบการณ์การท่องเที่ยวและการทำธุรกิจในหลายประเทศ ฉะนั้น เมืองนี้อาจดูว่าความรู้หรือการเลือกซื้อ หรือไปใช้บริการท่องเที่ยวบ้านเราอาจจะมีความลึกมากขึ้น

การมาโรดโชว์ที่เมืองนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีบรรดาเอเย่นต์ทัวร์และสื่อมวลชนมาร่วมงานกันคึกคัก และต่างชอบใจกระเป๋าผ้าขาวม้าสีสดใสที่นำมาแจกเป็นของที่ระลึก รวมถึงติดใจนวดไทยที่ทาง ททท.มอสโก ถึงกับนำ 2 หมอนวดสาวฝีมือดีจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรมาบริการถึงที่

ความที่เป็นเมืองทะเลแต่ละมื้อเลยได้ทานอาหารทะเลกันสดๆ โดยเฉพาะแซลมอนมีเกือบทุกมื้อ เลยทานเข้าไปเยอะเพราะบ้านเรามันแพง

เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง แต่ด้วยเวลามีจำกัดเพราะติดค่ำเสียก่อน เลยได้ไปไม่กี่แห่ง หนึ่งในนั้นคือ จุดชมวิวเพื่อขึ้นไปชมเมือง เห็นสะพานแขวน Zolotoy โดดเด่น ซึ่งเพิ่งสร้างเมื่อปี 2012 ต้อนรับการประชุมเอเปก พอดีไปถึงหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วเลยได้เห็นบรรยากาศตัวเมืองที่มีแสงไฟส่องสว่าง ซึ่งกว่าจะมืดก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มเศษ ที่นี่เวลาเร็วกว่าบ้านเรา 4 ชั่วโมง

img_7214

ก่อนหน้านี้ไปดูชายหาดบริเวณที่คนเมืองนี้ไปเล่นน้ำกัน พื้นที่เป็นหย่อมเล็กๆ ชายหาดไม่ได้สวยอะไร เทียบกันแล้วหาดทรายปักษ์ใต้บ้านเราแจ๋วกว่าเยอะ มีร้านขายของมีที่นั่งชมวิว บ้างก็ไปจอดรถทานข้าวเย็นในครอบครัว หนุ่มสาวบางคู่ก็ไปนั่งจู๋จี๋กัน

ด้วยเวลาที่มีจำกัด เลยใช้วิธีนั่งรถชมเมือง ซึ่งเมืองแห่งกองทัพเรือรัสเซียนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา มีอาคารบ้านเรือนสีสันสวยงามกระจายกันไปทั่ว บางช่วงถนนลาดชัน อีกทั้งทำเลที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิก บางคนถึงกับออกปากว่าเหมือน “ซานฟรานซิสโกแห่งรัสเซีย” ซึ่งบางพื้นที่ก็มีส่วนคล้ายคลึงอย่างที่ว่าจริงๆ

เมื่อขึ้นไปอยู่บนเนินสูงมองเห็นอ่าวเขาทอง (Golden Horn Bay) ที่มีเรือสินค้าและเรือรบเทียบท่าและทอดสมออยู่ทั่ว

สถานีรถไฟวลาดิวอสต๊อก เป็นอีกจุดที่ได้ไปเห็น แต่ก็แค่ลงไปถ่ายรูปด้านหน้า เพราะหาที่จอดรถยาก ผู้คนพลุกพล่านและเป็นจุดจอดรถโดยสาร เลยค่อนข้างจะวุ่นวาย

อย่างที่ทราบกันดีที่นี่เป็นสถานีปลายทางของเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ตรงเสาของสถานี เขียนเป็นภาษารัสเซียว่า “ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียสิ้นสุด ณ ที่นี้ ระยะทางจากกรุงมอสโก 9,288 กิโลเมตร”

 

เมืองแห่งสงคราม

ใครที่จำประวัติศาสตร์โลกได้จะรู้ว่า ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของจีนแต่ได้ยกให้กับรัสเซีย และในสมัยสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ช่วงปี ค.ศ. 1904 เมืองวลาดิวอสต๊อกเป็นเมืองท่าฝั่งแปซิฟิกที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นโจมตีอย่างหนัก

img_7291

เรือรบที่ผ่านสงครามมาแล้วตั้งโชว์อยู่กลางเมือง

จัตุรัสบอร์ซอฟเรฟวาลูซี (Ploshchad Bortsov Revolutsy Square) จัตุรัสหลักของเมือง เป็นอีกแห่งที่ได้ไปเดินถ่ายรูปกัน ซึ่งมีอนุสาวรีย์นักรบตั้งอยู่ มีเรือรบ มีกระถางไฟที่จุดโชติช่วงอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน บริเวณติดกันเป็นสวนสาธารณะมีผู้คนไปเดินเล่นกันประปราย

คุณเอื้อมพร ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แทบทุกเมืองในรัสเซียและในกลุ่มประเทศสมาชิกเครือรัฐเอกราช (CIS) ที่เคยอยู่ในสหภาพโซเวียตมาก่อน มักสร้างอนุสาวรีย์รำลึกทหารผู้พลีชีพในสงครามโลก และจุดกระถางคบเพลิงตลอด 24 ชั่วโมง โดยมักจะจารึกชื่อผู้เสียชีวิตไว้ด้วย

เสียดายไม่ได้ไปพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอาร์เซเนฟ (Arsenev Regional Museum) อันเป็นแหล่งรวบรวมประวัติการตั้งถิ่นฐาน และวิถีชีวิตของผู้คนในแถบนี้ รวมถึงงานศิลปะในยุคสตาลินเรืองอํานาจ

บ่ายวันรุ่งขึ้นต้องเดินทางไปเมืองคาบารอฟสค์ต่อ ช่วงนั่งรอขึ้นเครื่องมีเวลาช็อปปิ้ง แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรมาก เพราะขี้เกียจแบก ความจริงอยากซื้อบรรดาอาหารทะเลประเภทเค็มๆ ทั้งหลายที่เก็บไว้ได้ ซึ่งราคาไม่แพงเลยแถมสดด้วย เลยได้แต่ถ่ายรูปอย่างเดียว โชคดีแม่ค้ารัสเซียใจดีให้กดรูปตามใจชอบแม้จะไม่ซื้อก็ตาม

คราวหน้าจะพาไปสัมผัสเมืองคาบารอฟสค์ที่มีอาคารและมัสยิดสวยๆ หลายแห่ง