ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร ลูกชายคนโต “อาภัสรา หงสกุล” ตัดสินใจเป็นเกษตรกรเต็มตัว ใช้พื้นที่ 45 ไร่ ปลูกผลไม้หลายชนิด

ในอดีตผู้คนอาจจะรู้จัก ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร หรือ หม่อมโจ้ ลูกชายของ “อาภัสรา หงสกุล” นางงามจักรวาลคนแรกของเมืองไทย กับอดีตสามี “ม.ร.ว. เกียรติคุณ กิติยากร” ในภาพลักษณ์บุคคลที่อยู่ในสังคมไฮโซ แต่หลายปีมานี้ เจ้าตัวซึ่งเคยบวชพระสายวัดป่ามาหลายพรรษา ตัดสินใจมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว

นอกจากนี้ ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร หรือ หม่อมโจ้ ยังเป็นคุณพ่อที่มีหนุ่มน้อย ด.ช. กัสสป วัย 6 ขวบ อยู่เคียงข้าง พร้อมด้วยภรรยาสุดสวย “กิ๊บ-บุรีรัตน์ พรมดาว” ที่อายุอ่อนกว่าเกือบ 20 ปี โดยใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่สวน “Roong Organic” แถวปากช่อง มีเนื้อที่กว้างขวางถึง 45 ไร่ และปลูกผลหมากรากไม้หลากหลายชนิด

ซึ่งตอนนี้เก็บผลผลิตออกขายได้แล้ว โดยเฉพาะมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ที่เป็นอินทรีย์ ใช้ชื่อแบรนด์ “Roong Organic” สวนนี้เป็นสมาชิกของโครงการสามพรานโมเดลด้วย และทุกวันเสาร์-อาทิตย์ คุณกิ๊บจะไปทำหน้าที่ขายมะละกอที่ตลาดสุขใจ ซึ่งมีลูกค้าประจำมาอุดหนุนตลอด

ชี้ทำเกษตรอินทรีย์ไม่ยาก

หม่อมโจ้ แจกแจงให้ฟังว่า ผลไม้หลักๆ ที่ออกปริมาณเยอะเลยคือ มะละกอฮอลแลนด์ ประมาณ 30% นอกนั้นก็มีกล้วย มีมะม่วง กล้วย 3 ชนิด มีกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า อีกแปลงเป็นกล้วยผสมหลายอย่าง ส่วนมะม่วงมี มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงอกร่อง รวมทั้งมีส้มและมะนาวนิดหน่อย

 

หนุ่มใหญ่วัย 49 ปี ผู้นี้ เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการสละชีวิตสุขสบายในเมืองกรุงมาเป็นชาวสวนว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 ช่วงนั้น ไม่ได้ทำงานกับบริษัทที่กรุงเทพฯ และต้องการงานใหม่ เลยคิดว่าน่าจะทำอะไรกับที่ดินแถวปากช่องที่ซื้อไว้ 10 กว่าปีแล้ว

ซึ่งไม่ใช่ที่ดินมรดก ตอนซื้อราคาไม่เท่าไร เป็นไร่มันสำปะหลัง จากตัวอำเภอปากช่องไปทางลำตะคอง เลยถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 15 กิโลเมตร ทางเข้าลึกพอสมควร แต่ก่อนไม่ได้คิดมาทำการเกษตร ซื้อไว้เพราะคิดว่าพออายุเยอะแล้วก็อยากอยู่เงียบๆ ไว้ไปปฏิบัติธรรม

ประจวบกับตอนนั้นเกิดเหตุน้ำท่วม และคิดว่าเมื่อมีความจำเป็นจะทำอย่างไร ให้อยู่ได้ด้วยการพึ่งตัวเอง โดยเน้นในเรื่องอาหารที่เรากิน เราอิ่ม และเน้นที่เราชอบ พอเริ่มมาทำมาศึกษาก็คิดปลูกผลไม้ที่ชอบรับประทานก่อน

สาเหตุที่เริ่มจากมะละกอเป็นอย่างแรก เพราะปลูกไม่นานก็มีผลขายได้แล้ว ถ้าเป็นมะม่วงใช้เวลา 3 ปี ไม้ใหญ่ๆ จะใช้เวลานาน เลยเอามะละกอที่สามารถทำรายได้ให้ก่อน ใช้เวลาไม่กี่เดือน ประมาณ 8 เดือน ถ้าตอนมาจากต้นอีก 2 เดือน ก็ออกแล้ว ดังนั้น จึงเริ่มจากผลไม้ที่ออกลูกเร็วก่อน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีเงินเข้า

เจ้าของสวนรุ่งออร์แกนิกเล่าถึงที่มาที่ไปของการมาทำสวนเกษตรอินทรีย์ว่า เดิมนั้นวางแผนจะปลูกมะละกอ พอดีเพื่อน คือ คุณอรุษ นวราช เจ้าของโรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ จัดสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องเกษตรอินทรีย์ ซึ่งครั้งนั้นเน้นเฉพาะผัก จึงได้เข้าร่วมด้วย พร้อมนำความรู้เหล่านั้นไปประยุกต์ใช้กับผลไม้

หม่อมโจ้ แจกแจงถึงขั้นตอนการทำเกษตรอินทรีย์ว่า ตอนแรกก่อนจะทำจริง เหมือนว่ายาก เพราะเวลาไปอ่านหนังสือไปศึกษาหาความรู้ มีการกำหนดต้องมีอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องมีอะไรบ้าง

พอไปทำจริงๆ ไม่ได้ยากอย่างนั้น แต่ต้องเข้าใจ ต้องรู้จักพืชว่าโดยธรรมชาติชอบอยู่อย่างไร เกษตรกรแค่ทำสิ่งแวดล้อมให้ระบบนิเวศเป็นแบบที่พืชผลไม้ชอบและมีความสุขตรงนั้น แล้วจะให้ผลผลิตออกมา คือไม่ได้บังคับให้ออกนอกฤดู แค่เลี้ยงให้อยู่ดีมีความสุขเหมือนคน ทำให้แฮปปี้

แนะต้องเลือกพันธุ์ที่ดี

กับคำถามที่ ดูแลและบำรุงอย่างไร เพื่อให้มะละกอออกผลผลิตดี มีคุณภาพ หม่อมโจ้ แจกแจงว่า แทบจะไม่เป็นห่วงเรื่องแบบนั้นเลย คือจริงๆ แล้ว เน้นในการสร้างระบบนิเวศที่มีความหลากหลายและมีความสมบูรณ์ทางด้านจุลินทรีย์และดิน อย่างแรก พันธุ์ที่นำมาปลูกสำคัญ อย่างที่สวนเรื่องแมลงไม่ค่อยได้ใช้อะไร ก็มีจุลินทรีย์ที่ใช้เพื่อควบคุมศัตรูพืช

“เอาเข้าจริงๆ ถึงมีแมลงมา แต่ก็ไม่เป็นอะไร เป็นโรคนิดๆ หน่อยๆ เหมือนกับคน นึกถึงตัวเรา ถ้าแข็งแรงพอไปโรงพยาบาลไปเจอโรคก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเราอ่อนแอไปโรงพยาบาลก็อาจจะเป็นโรคได้”

หม่อมโจ้ อธิบายถึงการทำปุ๋ยอินทรีย์แบบง่ายๆ ที่ไม่ใช่ปุ๋ยพืชสดว่า เนื่องจากพื้นที่แถวนั้นมีต้นกระถินที่ขึ้นเองทั่วไปหมด จึงตัดแล้วนำมากองไว้ ไม่นานจะมีด้วงเข้ามาอยู่และขี้ออกมา เป็นปุ๋ยขี้ด้วงที่เกิดจากกองกระถินก็ใช้ปุ๋ยขี้ด้วงนั้นไปใส่เป็นปุ๋ยให้ที่ต้นมะละกอ ซึ่งหากมีไนโตรเจนสูง เมื่อไปวัดค่า จะรู้ว่าขาดอะไร ถ้าจะเพิ่มความหวานก็ใช้ขี้เถ้ามาโรย

หม่อมโจ้ บอกว่า การทำเกษตรอินทรีย์ในเบื้องต้น ขอให้มองในเชิงเคมี แต่นำวัตถุอินทรีย์มาใช้มาทดแทนเคมี เหมือนกับที่ว่า จะใช้ปุ๋ยเคมีต้องใส่เท่านั้นเท่านี้ พอมาทำจริงก็ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งไม่ได้ใส่มากมายอะไร

อย่างที่เจ้าของสวน “Roong Organic” บอกไว้ว่า พันธุ์เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งกว่าหม่อมโจ้จะได้มะละกอฮอลแลนด์พันธุ์ดีๆ อย่างทุกวันนี้ ก็ต้องเสียเวลาไปเป็นปี เพราะก่อนหน้านี้ เขานำมะละกอจากฟาร์มมาเพาะ 2,000 กว่าต้น แต่รสชาติไม่ดี เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม่ค่อยแข็งแรง และติดโรคระบาดง่าย

เมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมโจ้จึงตระเวนเสาะหาพันธุ์ที่ดี ด้วยการตระเวนชิมมะละกอตามสถานที่ต่างๆ กระทั่งได้เจอรสชาติที่ถูกใจ จากนั้นซื้อแล้วเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูก ซึ่งแม้จะเสียเวลาไปเป็นปี แต่เจ้าตัวยืนยันว่าคุ้มกับการที่ได้มะละกอฮอลแลนด์รสชาติดี มีความหวานกลมกล่อม

ช่วงที่มะละกอออกลูกนั้น หม่อมโจ้ระบุว่า ถ้าลูกไหนเบี้ยวไม่สวย ออกมาเหมือนลูกมะม่วง จะเด็ดทิ้งเลย เพื่อให้ต้นไปเลี้ยงลูกอื่นๆ ที่สมบูรณ์ โดยไม่ได้กำหนดว่าต้นหนึ่งจะเหลือไว้กี่ลูก ส่วนใหญ่ต้นหนึ่งมี 10-15 ลูก

ผลผลิตไม่พอขาย ต้องปลูกเพิ่ม

“ผมว่าคุ้มกับการที่ไปทำครั้งแรก 2,500 ต้น แล้วไม่ได้ผลดี แต่ถ้าไม่มีทุนสำรองก็แย่เหมือนกัน โชคดีที่ตอนนี้ได้พันธุ์มีสชาติมีความพิเศษ มีความกลอมกล่อมกลมกลืน ซึ่งพอเป็นอินทรีย์ทำให้พืชสามารถดูดสารต่างๆ ได้ดี เหมือนคนเราลองคิดดู เปรียบเทียบการที่เด็กดื่มนมจากนมแม่ กับการไปกินแคลเซียมที่เป็นเม็ดๆ มันดูดซึมไม่ได้ดีนัก ร่างกายคนเราไม่ได้สร้างให้มาดูดซึมสารล้วนๆ แบบนั้น ต้องดูดซึมสารที่เชื่อมกับสิ่งที่เป็นออร์แกนิก พืชก็เหมือนกัน”

มะละกอ แบรนด์ “Roong Organic” ลูกใหญ่สุด มีน้ำหนักประมาณกิโลกว่า ซึ่งเวลาไปขายปลีกที่ตลาดสุขใจ ขายกิโลกรัมละ 50 บาท อย่างไรก็ตาม ลูกค้ามักจะชอบมะละกอลูกเล็กมากกว่า

สำหรับผลผลิตจากสวน หม่อมโจ้ให้ข้อมูลว่า ถ้าเทียบกับความต้องการของตลาดแล้ว จำนวนมะละกอฮอลแลนด์ที่ปลูกยังไม่พอขาย ปกติจะส่งที่โรงแรมสามพรานฯ และขายในตลาดสุขใจทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และจะมีส่งเข้าท็อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงที่ห้างเซ็นทรัลด้วย และยังมีลูกค้าเจ้าอื่นๆ ที่ต้องการอีกเยอะ

แต่สวนมีผลผลิตไม่เยอะพอที่จะขาย ตอนนี้ปลูกมะละกอยังไม่ถึง 10 ไร่ ดังนั้น ปีหน้าจะปลูกเพิ่มอีก 5 ไร่  นอกจากนี้ ผลไม้อื่นๆ ที่เขาปลูกคงทยอยให้ผลผลิตตามมาในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็น กล้วย มะนาว หรือส้ม

ส่วนเรื่องการลงทุนที่ว่าจะได้ทุนคืนเมื่อไรนั้น หม่อมโจ้ฉายภาพให้เห็นว่า ถ้ามองในแง่ธุรกิจการลงทุนบางอย่าง เช่น บ้าน หรือระบบแปลง ในส่วนค่าใช้จ่ายค่าอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ท่อ ปั๊มน้ำ หรือการขุดบ่อน้ำ บางอย่างต้องใช้เวลานานกว่าจะคืนทุน คิดว่า 2 ปีแรกเป็นการวางฐาน และ 2 ปี ในระยะที่สอง จะสามารถคืนในส่วนนั้น และพออยู่ได้ จากนั้นถึงจะมาคืนในส่วนอื่นๆ

เมื่อถามว่า เหนื่อยไหมกับการทำเกษตรอินทรีย์ 4 ปีกว่า หม่อมโจ้ ทวนคำถามที่ว่า เหนื่อยไหม แล้วต่อท้ายว่า

“มันเป็นอะไรที่ท้าทายและมีความคืบหน้าตั้งแต่เริ่มทำ เนื่องจากที่ดินของเราไม่เรียบไปปรับมันด้วยมือ ผมว่ามันสนุกสำหรับผม และโอเค เราทำเป็นทีมอยู่ในไร่ ทำในลักษณะกำไรเราแบ่งเท่าๆ กัน ทั้งเจ้าของครอบครัวผม และครอบครัวคนที่ทำงานที่ช่วยกันทำ แต่ผมเป็นเจ้าของที่และมีเงินลงทุนเป็นส่วนของผม ก็หักมาคืน แต่ในส่วนกำไร การบริหารทุกคนได้เท่ากัน ผมทำอย่างนี้แต่ละคนก็มีส่วนอย่างคนหนึ่งเป็นผู้จัดการในส่วนของภาคสนาม คุณกิ๊บก็เป็นส่วนของการตลาด ผมเองทำในส่วนของการวิจัย การออกแบบหรือวิธีการจัดการ”

“ในแง่หนึ่ง บางอย่างก็เหนื่อยแบบที่เราไม่คาดคิด คือตอนนี้คนมันน้อย บัญชีเราก็ขาดแคลน บางทีไม่มีใคร ผมก็ต้องขับรถเอง มา กทม. มาส่งมะละกอ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง แต่จะไปบ่นอะไร เมื่อมีคนจะซื้อของ ต่อให้ไปอาทิตย์ละ 5 วัน เพื่อไปส่งของก็ต้องไป เพราะผลผลิตจะทิ้งมันก็ไม่ได้ ในอนาคตอาจมีคนมาทำหน้าที่ขับรถแทน แต่ตอนนี้เนื่องจากการขยายมันไม่ทันกัน คือตอนนี้ขาดใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้เลย เพราะทุกคนมีหน้าที่ และใช้เต็มกำลังของทุกคน”

ยืนยันยึดอาชีพเกษตรกรรมเต็มร้อย

ส่วนแผนการอนาคต หม่อมโจ้ บอกว่า ตรงนี้มองว่าเป็นรายได้ เป็นชีวิตในรูปแบบที่เป็นอิสระของตัวเอง ในแง่หนึ่ง บางอย่างก็เหนื่อยแบบที่ไม่คาดคิด คือตอนนี้คนน้อย คนทำบัญชีก็ขาดแคลน บางครั้งต้องขับรถส่งมะละกอด้วยตัวเอง แต่ถ้าอีกหน่อยอะไรๆ ลงตัวก็จะดี ถือเป็นรูปแบบชีวิตที่อิสระ อยากทำเวลาไหนก็ทำ จริงๆ แล้วเน้นการเก็บและการส่ง

“ทั้งหมดนี้เป็นฐานชีวิตของลูกผม และลูกของครอบครัวที่ช่วยกันทำงานอยู่ที่สวน ต่อไปไม่จำเป็นต้องสมัครหรือไปรับงานที่ไหน อยากทำแบบนี้ก็อยู่ได้”

ฟังมาสักพักแล้ว แต่ก็ยังสงสัยอีกว่า หม่อมโจ้ยึดอาชีพเกษตรกรรมเต็มตัวแน่หรือ โดยเฉพาะเมื่อยามต้องกรอกแบบฟอร์มเกี่ยวกับอาชีพที่ทำในปัจจุบัน

ประเด็นนี้ หม่อมโจ้ อธิบายชัดเจนว่า “โดยหลักของผม อาชีพผมเป็นเกษตรกร ตรงอื่นผมไม่ได้มีเงินเดือนอะไร แค่เป็นหุ้นส่วน เกี่ยวกับเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ไฟฟ้าทำที่ไทย ไม่ได้มีตำแหน่งในการบริหาร ทำหน้าที่เป็นประธานบริษัท มีเพื่อนๆ ร่วมกันทำหลายคน เขามีอะไรให้ช่วยก็ช่วย ไม่ได้ทำงานตรงนั้น แต่เรื่องเกษตรอันนี้เป็นชีวิตของเรา”

ทั้งหมดนี้ คงเห็นกันแล้วว่า ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร เป็นเกษตรกรอินทรีย์ 100% ซึ่งเป็นแบบอย่างที่น่าชื่นชม เพราะทำแบบครบวงจรทั้งปลูกเองและขายเอง

ใครที่เคยเจอ ม.ล. รุ่งคุณ กิติยากร ตอนใช้ชีวิตเป็นไฮโซอยู่ในเมืองหลวง อาจจะยังไม่คุ้นชินกับภาพลักษณ์ใหม่ของเขาในฐานะชาวสวน ซึ่งแม้จะไม่ได้มีชีวิตหรูหราเหมือนในอดีต แต่สีหน้าก็ฉายแววแห่งความสุขอย่างเต็มเปี่ยม เพราะมีแฟนสาวและลูกชายตัวน้อยเป็นกำลังใจสำคัญ