ธุรกิจท่องเที่ยวสดใสกว่าใคร! จีดีพี SMEs ไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ6

คุณสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล  ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) เปิดเผยว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของ SME ไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 6.0 โดยมีมูลค่า 1.74 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42.8 ของ GDP รวมทั้งประเทศ ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการค้าและภาคการบริการ โดยเฉพาะในสาขาการบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร และธุรกิจขนส่ง ซึ่งแม้ว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน แต่ยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 12.8 และ 7.1 ตามลำดับ

ด้านมูลค่าการส่งออกของ SME ใน 5 เดือนแรก ปี 2561 (มกราคม – พฤษภาคม 2561) มีมูลค่า 25,467.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24.5 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และขยายตัวเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ร้อยละ 7.8 ตลาดส่งออกสำคัญอยู่ในกลุ่มตลาดอาเซียน มีมูลค่า 7,576 ล้านดอลลาร์  ขยายตัวร้อยละ 6.0 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.7 รองลงมาคือ ประเทศจีน มีมูลค่า 3,019 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.9 สำหรับสินค้าส่งออกที่สำคัญของ SME อยู่ในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ มีมูลค่า 4,413 ล้านดอลลาร์ หดตัวลงร้อยละ 1.5 เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกมีความผันผวนมาก

ในขณะที่มูลค่าการส่งออกพลอยและเครื่องประดับแท้ทำด้วยเงินและทองเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เมื่อหักทองคำออก จะทำให้หมวดอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) มีการขยายตัวร้อยละ 9.7 ส่วนการส่งออกสินค้าสำคัญที่มีการขยายตัวได้ดี คือ หมวดพลาสติก และของทำด้วยพลาสติก มีมูลค่า 2,346 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 23.0 รองลงมา คือ หมวดยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 19.0

สถานการณ์การส่งออกมีการขยายตัวทุกตลาด สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างชัดเจน อีกทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดยุโรปขยายตัวได้ดีจากการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวดีขึ้น และเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีของประเทศกลุ่มอาเซียน

ด้านการนำเข้าของ SME ใน 5 เดือนแรก ปี 2561 (มกราคม – พฤษภาคม 2561) มีมูลค่า 31,378.64  ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.7 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด ขยายตัวจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2560 ร้อยละ 18.6 ตลาดนำเข้าสำคัญอยู่ในกลุ่มตลาดอาเซียน มีมูลค่า 8,009 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 13.2 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.7  รองลงมาคือ ประเทศจีน มีมูลค่า 7,668 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.1 เมื่อพิจารณาตามโครงสร้างการนำเข้า พบว่า เป็นกลุ่มวัตถุดิบ และสินค้ากึ่งสำเร็จรูป มีสัดส่วนร้อยละ 40.3 ขยายตัวร้อยละ 18.3 กลุ่มสินค้าทุน มีสัดส่วนร้อยละ 24.9 ขยายตัวร้อยละ 18.2 กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมีสัดส่วนร้อยละ 16.7 ขยายตัวร้อยละ 17.6 และกลุ่มสินค้านำเข้าอื่นๆ มีสัดส่วนร้อยละ 18.1 ขยายตัวร้อยละ 20.7

สถานการณ์การนำเข้าของ SME มีการขยายตัวทุกตลาดสำคัญ และทุกประเภทสินค้าสำคัญ อีกทั้งโครงสร้างนำเข้าก็ปรับตัวสูงขึ้นทุกกลุ่มสินค้า เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวจากการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนภาครัฐ อีกทั้งค่าเงินบาทยังแข็งตัวต่อเนื่อง และยังมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำ ส่งผลดีต่อการนำเข้า แต่จะเห็นได้ว่า SME ไทยนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนสูงสุดร้อยละ 25.6

ทั้งนี้ จำนวนผู้ประกอบการ SME ปี 2560 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,046,793 ราย มีอัตราการขยายตัว ร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.8 ของจำนวนวิสาหกิจทั้งประเทศ โดยเป็นจำนวนวิสาหกิจขนาดเล็ก (SE) จำนวนทั้งสิ้น 3,028,495 ราย และมีจำนวนวิสาหกิจขนาดกลางจำนวน 18,298 ราย เมื่อจำแนกตามประเภทการจัดตั้งกิจการ สามารถจำแนกได้ 3 ประเภท ได้แก่ นิติบุคคล มีจำนวนทั้งสิ้น 675,633 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.2 ของจำนวน SME รวมทั้งประเทศ ส่วนบุคคลและอื่นๆ มีจำนวน 2,285,731 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.0 และวิสาหกิจชุมชน มีจำนวน 85,429 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.8

ด้านของการจ้างงาน SME ในปี 2560 มีจำนวนการจ้างงาน 12,155,647 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 82.2 ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ เมื่อจำแนกตามประเภทการจัดตั้งกิจการ พบว่า การจ้างงานนิติบุคคล มีจำนวนการจ้างงาน 7,139,347 คน คิดเป็นร้อยละ 58.7 ของการจ้างงาน SME และมีการจ้างงานส่วนบุคคลและอื่นๆ มีจำนวน 5,016,300 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.3

 อย่างไรก็ตาม สสว. ยังคงประมาณการการเติบโตของ GDP SME ในปี 2561 ไว้ที่  5.0-5.5% เนื่องจากธุรกิจในภาคบริการ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ตัวแทนธุรกิจการเดินทาง ธุรกิจจัดนำเที่ยวและการท่องเที่ยวที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งกิจกรรมการบริการด้านสุขภาพ  ในด้านภาคการผลิต อุตสาหกรรมผักและผลไม้กระป๋อง ผลิตภัณฑ์ในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้, ผลไม้กระป๋องเป็นกลุ่มสาขาที่มีอัตราการเติบโตของกำไร รายได้ และ GDP ที่สูง และยังมีแนวโน้มการเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะส่งผลถึงการเติบโตของ SMEs ในสาขาก่อสร้างและสาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง