ดราม่าทุเรียนหมด! ย้อนดูจุดยืน-สวนละไม “คุณภาพกับบริการสำคัญมาก ต้องทำให้ออกมาดี”

กำลังเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เมื่อลูกค้าคนดังอย่าง “คุณลีน่า จัง” ไลฟ์สดต่อว่าต่อขานอย่างรุนแรง เนื่องจากเธอเดินทางไปเยี่ยมชมสวนผลไม้ “สวนละไม” ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง  เพื่อหวังเข้าร่วมโปรแกรมท่องเที่ยวสวนรวมแพ็กเกจทานทุเรียนได้ไม่อั้น แต่เมื่อเดินทางไปถึงปรากฏ “ทุเรียนหมด” ทางสวนไม่มีทุเรียนให้รับประทาน เนื่องจากขายบัตร 3,000 หมดภายในเวลาอันรวดเร็ว ต่อมาทางผู้รับผิดชอบได้ออกมาชี้แจงเหตุผลและขอโทษลูกค้าผ่านทางเพจของสวนละไม ไปแล้วนั้น

ล่าสุด “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” สำรวจข้อมูลการจัดบุฟเฟ่ต์ผลไม้ของทางสวนละไม พบว่า เพิ่งมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เกิดปัญหาทุเรียนหมดสวน คือ เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมานี้เอง และได้ระบุรายละเอียดไว้ ปีนี้ทางสวนละไม เปิดกิจกรรมบุฟเฟ่ต์ผลไม้ ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย. ถึงวันที่ 15 ก.ค. เปิดตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. สามารถมาซื้อบัตรที่หน้าสวนวันที่มาเที่ยวได้เลย ไม่ต้องจอง และไม่มีการรับจองล่วงหน้า

“วันธรรมดาลูกค้าไม่เยอะมาก เที่ยวสบายๆ สุดๆ ค่ะ วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดยาว ลูกค้าเยอะอาจต้องรอคิวเข้าสวนนิดนึง พยายามมาเช้าๆ หรือบ่ายๆ ไปเลย หลีกเลี่ยงช่วง 11.00-13.00 น. เพราะเป็นช่วงที่ลูกค้ามาเที่ยวพร้อมๆ กันเยอะมากค่ะ” ผู้ดูแลเพจ สวนละไม ระบุอย่างนั้น

ก่อนบอกต่อถึงราคาบัตรและรายละเอียดกิจกรรมที่ทางสวนจัดไว้ในปีนี้  บัตรผู้ใหญ่ ราคา 490 บาท บัตรเด็ก ราคา 250 บาท เด็กความสูงน้อยกว่า 100 ซม. ฟรี เด็กความสูง 100-120 ซม. 250 บาท เด็กความสูง 120 ซม. ขึ้นไป 490 บาท

สำหรับกิจกรรม ประกอบด้วย นั่งรถรางขึ้นชมสวนผลไม้ต่างๆ บนภูเขา  แวะเที่ยวชมในสวนเงาะ พร้อมทานเครื่องดื่มและของว่างรองท้องที่อาคารในสวนเงาะ จุดนี้จะมีผลไม้ให้ทาน คือ เงาะอย่างเดียว และจะมีเครื่องดื่มเป็นน้ำสมุนไพรต้อนรับ มีขนมไทยให้ทานด้วยค่ะ เช่น กล้วยทอด มันทอด บ้าบิ่น ขนมถ้วย ขนมตาล ไอติมโบราณ และอื่นๆ แล้วแต่ทางสวนจัดเตรียมให้ นอกจากนี้ยังมีของคาวรองท้องเป็น ขนมจีนน้ำยา และแกงไก่ด้วย ซึ่งเพิ่มเติมขึ้นมาในปีนี้ สามารถเที่ยวชมและนั่งทานได้ พร้อมชมจุดชมวิวสวนผลไม้ และจุดถ่ายรูปสวยๆ ในบริเวณสวนเงาะไม่จำกัดเวลา

ส่วนจุดไฮไลต์ เป็นการทานบุฟเฟ่ต์ผลไม้หลากหลายชนิด อาทิ ทุเรียน เงาะ มังคุด สละ ลองกอง และผลไม้อื่นตามฤดูกาล พร้อมด้วยข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ทอด และของหวานต่างๆ มากมาย ตามรายการที่สวนจัดเตรียมไว้ให้

“ปีนี้จุดที่สองจะเพิ่มเมนูสลัดผักสวนละไมให้ทานกันได้ไม่อั้นที่อาคารบุฟเฟ่ต์พร้อมบรรยากาศบนเขา ไม่จำกัดเวลาเช่นกัน จุดที่สาม เที่ยวชมฟาร์มแกะบรรยากาศสุดชิล สัมผัสน้องแกะอย่างใกล้ชิด สามารถเล่น ถ่ายรูป และป้อนหญ้าได้อย่างสนุกสนาน และเป็นกันเอง” เพจ สวนละไม ให้รายละเอียดมาอย่างนั้น

ย้อนไปเมื่อราวสองปีก่อน “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” มีโอกาสสัมภาษณ์ “จุดเริ่มต้น” สวนผลไม้ดังแห่งนี้ โดยมี คุณไพโรจน์ ปิติพันธรัตน์ เป็นตัวแทนให้ข้อมูลว่า ใช้เวลาลงมือจัดพื้นที่ซึ่งมีอยู่ราว 500 ไร่ แบ่งสันปันส่วนปลูกพืชผลหลัก อย่าง ทุเรียน เงาะ มังคุด ซึ่งกว่าจะเติบโตใช้เวลา 15 ปี และในราวปี 2557 เปิดให้นักท่องเที่ยวผู้สนใจเดินทางเข้าเยี่ยมชม ควบคู่กับบริการ “บุฟเฟ่ต์ผลไม้” ที่สามารถทานได้ไม่อั้น และไม่จำกัดเวลา

“จำนวนผู้เข้าชมมีนับพันคนต่อวัน และเคยสูงสุดถึง 4,500 คนต่อวัน ส่งผลให้สวนละไม กลายเป็นที่รู้จักและเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวของคณะทัวร์ไปแล้ว ธุรกิจนี้ของเราสามารถผลักดันผลไม้ออกสู่ตลาด 170 ตันต่อฤดูกาล รองรับนักท่องเที่ยวกว่า 120,000 คน และส่งเงินคืนกลับเกษตรกรในพื้นที่ได้นับสิบล้านบาท” คุณไพโรจน์ บอกอย่างนั้น และว่า กลุ่มลูกค้าหลัก อยู่ในรูปแบบบริษัทในนิคมอุตสาหกรรม มากันครั้งหนึ่งหลายร้อยคน ส่วนในกลุ่มครอบครัวก็ถือเป็นกลุ่มให้ความสนใจกันมาก

ต่อข้อถามที่ว่า บริหารธุรกิจบุฟเฟ่ต์ผลไม้อย่างไรให้ได้กำไร คุณไพโรจน์ บอก ต้องจัดเส้นทางเข้าชมให้ลงตัว ลูกค้าสามารถเดินเข้าชมสวนและเก็บเงาะผลแก่สดจากต้นได้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามหักกิ่ง นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่นๆ ที่จัดเตรียมไว้ นอกเหนือจากผลไม้ไฮไลต์ หรือทุเรียนนั่นเอง

“รายการอาหารทั้งหมดมีไว้รองรับกว่า 40 รายการ เราทำแบบนี้ ถือเป็นหนึ่งในความหลากหลายที่ควรมีไว้ให้ลูกค้าเลือก และถือเป็นการบริหารธุรกิจบุฟเฟ่ต์ให้อยู่ได้ อย่างในปีนี้ฤดูแล้ง ทุเรียนแพงมาก ซื้อหน้าสวนกิโลกรัมละ 100 กว่าบาท ถ้าไม่มีเมนูอื่นเสริมก็คงอยู่ไม่ได้” คุณไพโรจน์ เคยให้ข้อมูลไว้เมื่อครั้งนั้น

ก่อนกล่าวต่อถึง จำนวนทุเรียนและผลไม้นำมาบริการลูกค้า คิดเป็นเงินแล้วตกราววันละ 1 ล้านกว่าบาท หรือถ้าจบตลอดฤดูกาล น้ำหนักรวมจะอยู่ที่ประมาณ 170 ตัน

“จากจำนวนทุเรียนที่ใช้ คงต้องมีพื้นที่ปลูกเป็นพันๆ ไร่ สวนละไมจึงไม่อาจมีเพียงพอ ซึ่งเป็นแนวคิดของผมตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องการสร้างธุรกิจที่โอบอุ้มเกษตรกรคนอื่นด้วย จึงรับสมัครสมาชิกเข้ามาเป็นเครือข่ายกับเรา ส่งวัตถุดิบให้ โดยขณะนี้มีอยู่กว่า 50 สวน หรือเท่ากับจำนวนรับซื้อทุเรียนสูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์” คุณไพโรจน์ บอก

และยังกล่าวถึงผลผลิตที่รับซื้อ จะตั้งกติกาการรับซื้อไว้ชัดเจน คือ  “ถ้าไม่ดี คืนกลับ”

“ความยั่งยืนในธุรกิจจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มที่ความซื่อสัตย์ ผมซื้อทุเรียนไม่เคยต่อราคา เจ้าของสวนตั้งราคาขายมาได้เลย เคยซื้อสูงสุดกิโลกรัมละ 102 บาท แต่ขอให้คุณภาพดี ถ้าส่งทุเรียนอ่อนมาตีคืนทันที และทำโทษด้วยการหยุดซื้อขาย ผมว่าสิ่งที่จะทำให้ธุรกิจอยู่ได้ คุณภาพกับบริการสำคัญมาก ต้องทำให้ออกมาดี แล้วลูกค้าจะบอกต่อๆ กันเอง ซึ่งที่ผ่านมา สวนละไม แทบไม่ต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์ แต่ลูกค้าจะเป็นกระบอกเสียงให้ ยิ่งในยุคโซเชียลทำให้เราไปได้เร็วมาก” คุณไพโรจน์ บอกไว้

ก่อนทิ้งท้ายว่า

“ผมคิดว่าความสำเร็จเกิดได้เพราะเราไม่ได้มองแค่จะไปคนเดียว แต่ต้องการพาพี่น้องเกษตรกรเติบโตไปด้วยกัน ให้เขามีตลาดด้วย”

ขอบคุณภาพประกอบ : เพจสวนละไม