คุณหนึ่งฤทัย แพรสีทอง  จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขาพืชสวน คณะเกษตร อาชีพหลักเธอทำงานในแวดวงข่าวเกษตร มากว่า 10 ปี ปัจจุบัน  เธอเป็นเจ้าของแผงขายมะละกอขนาดใหญ่ ที่ตลาดไท โดยรับซื้อและส่งเสริมลูกไร่ปลูกมะละกอ มีแปลงลูกไร่กระจายอยู่ในหลายจังหวัดทั้ง ชุมพร กำแพงเพชร นครสวรรค์ สระแก้ว พื้นที่รวมกว่า  200 ไร่ นอกจากนั้น ยังส่งห้างสรรพสินค้าใหญ่ และขึ้นเสิร์ฟสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส

วันนี้ คุณหนึ่งฤทัย พร้อมที่จะแชร์ประสบการณ์ พร้อมวิเคราะห์การตลาดมะละกอให้กับผู้ที่สนใจ ผ่าน “เส้นทางเศรษฐีออนไลน์”

 

คุณหนึ่งฤทัย มองว่า มะละกอเป็นพืชที่มีศักยภาพสูงกว่าพืชชนิดอื่นๆ และมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงที่จะเข้ามาทำในเชิงการค้า ด้วยตลาดรองรับที่ค่อนข้างกว้าง เนื่องจากมะละกอเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่มีกลุ่มผู้บริโภคทุกกลุ่มในทุกช่วงอายุ มะละกอสามารถจำหน่ายได้ทั้งตลาดล่างอย่างตลาดนัด ไปจนถึงตลาดบนอย่างห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร ไปจนถึงสายการบินที่มีความต้องการมะละกอสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่น เธอจึงมองเห็นโอกาสและเป็นแรงผลักดันให้ก้าวสู่ธุรกิจปลูกและจำหน่ายมะละกอฮอลแลนด์

เธอเริ่มต้นเข้าสู่ธุรกิจมะละกอฮอลแลนด์เมื่อราวปี 2555  หลังจากที่มีโอกาสไปทำข่าวสวนมะละกอหลายพื้นที่ โดยสวนมะละกอหน้าใหม่ซึ่งปลูกมะละกอครั้งแรกพื้นที่กว่า  15  ไร่ ที่ จ.ชุมพร  กำลังจะได้เก็บผลผลิต และยังไม่มีตลาดรองรับ เธอจึงมองเห็นโอกาสที่จะก้าวสู่เส้นทางใหม่ๆ จึงตัดสินใจเปิดแผงค้ามะละกอฮอลแลนด์ ที่ตลาดไท โดยรับซื้อมะละกอจากสวนที่ชุมพรมาจำหน่าย

ด้วยผลผลิตที่มีคุณภาพมาตรฐานจึงทำให้ลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะเป็นผู้ค้าหน้าใหม่ของตลาดก็ตาม คุณหนึ่งฤทัยจึงคิดต่อยอดธุรกิจด้วยการก้าวสู่ตลาดบน โดยนำเสนอมะละกอจากแผงค้าของเธอเข้าไปวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส ได้สำเร็จในเวลาไม่นานหลังจากเปิดแผงค้า

เมื่อปริมาณความต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้มะละกอฮอลแลนด์จากแปลงลูกไร่เพียงสวนเดียวที่มี ไม่เพียงพอกับตลาด  เธอจึงประกาศรับลูกไร่เพิ่มขึ้นเพื่อรับซื้อผลผลิตมากขึ้น ลูกไร่ก็ขยายจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการเติบโตของตลาด ขณะเดียวกัน ตัวเธอเองก็มองเห็นศักยภาพของมะละกอฮอลแลนด์จึงลงทุนปลูกเองด้วย เพื่อรองรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากผลผลิตที่ไม่เพียงพอของลูกไร่ ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกมะละกอทั้งของเธอเอง  และลูกไร่รวมกว่า 200 ไร่ โดยจะทยอยลงปลูกไล่รุ่นกันไปเพื่อให้มีผลผลิตต่อเนื่องทั้งปี โดยเธอจะรับซื้อมะละกอเข้ามายังร้านวันหนึ่งประมาณ 15-20 ตัน เลยทีเดียว

ปัจจุบันจำหน่ายมะละกอกว่า 15-20 ตันต่อวัน  ป้อนตลาดขายปลีก ส่งห้างสรรพสินค้าและสายการบิน

จากการเข้ามาเป็นผู้ค้ามะละกอฮอลแลนด์ คุณหนึ่งฤทัย บอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้สินค้ามียอดจำหน่ายสูงและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าก็คือ คุณภาพ เธอจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และด้วยความได้เปรียบที่เธอเองเรียนจบด้านการเกษตร จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงสามารถให้คำแนะนำลูกไร่และใช้ความรู้ของเธอในการผลิตมะละกอคุณภาพในแปลงของเธอเองด้วย แปลงมะละกอลูกไร่เธอจะแนะนำให้เข้าสู่มาตรฐาน GAP เพื่อผลผลิตที่มีคุณภาพ ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับตลาดบนได้  ขณะที่ผู้ค้ารายอื่นๆ ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อย  ผลผลิตคุณภาพมาตรฐาน GAP นำไปสู่การได้รับการรับรองแผงค้าคุณภาพระดับทองประเภทมะละกอจากตลาดไท ซึ่งก็เป็นบันไดสำคัญที่ทำให้ผลผลิตมะละกอจากที่นี่ก้าวไปสู่การส่งจำหน่ายให้กับห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส และตลาดใหม่ล่าสุดในปีที่ผ่านมาก็คือ ครัวการบินกรุงเทพ ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่นำมะละกอสุกไปเสิร์ฟบนเครื่อง นับเป็นความภูมิใจของเธออย่างยิ่งที่มีโอกาสได้นำผลผลิตคุณภาพก้าวไปสู่ตลาดระดับบน

 

มะละกอเป็นพืชที่มีโอกาสสำเร็จสูง ลงทุนไม่มาก ผลตอบแทนสูง

ในแง่ของประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับเกษตรกรที่ปลูกมะละกอมาอย่างมากมาย  มองเห็นความสำเร็จของคนปลูกมะละกอที่สร้างรายได้น่าสนใจมาก มะละกอในพื้นที่เพียง 10 ไร่ สามารถทำเงินได้มากถึง 7-8 แสนบาท หรืออาจจะถึงล้านบาทในช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพียงปีเศษ โดยมะละกอใช้เวลาตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 8 เดือน อาจจะมองว่านานเมื่อเทียบกับพืชอายุสั้น แต่หลังจากเก็บเกี่ยวได้แล้ว มะละกอจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่องยาวนานนับปี และเก็บผลผลิตได้ทุก 3-5 วัน หรือเฉลี่ยแล้วเดือนละ 7-8 ครั้ง จึงทำให้มีรายได้อย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของการปลูกและดูแลรักษาก็นับว่ามะละกอเป็นพืชที่ดูแลไม่ยุ่งยากจนเกินไป ใช้แรงงานไม่มากในการดูแล มีศัตรูพืชไม่มากและสามารถควบคุมได้ไม่ยากหากมีการจัดการที่ดี จึงทำให้ต้นทุนการผลิตไม่สูงจนเกินไป ต้นทุนการปลูกมะละกออยู่ที่ประมาณไร่ละ 15,000-20,000 บาท

 

มะละกอฮอลแลนด์ในช่วงนอกฤดู ราคายังสูงมาโดยตลอด

คุณหนึ่งฤทัยได้ให้ข้อมูล สถานการณ์ด้านตลาดของมะละกอว่า โดยปกติแล้วมะละกอจะมีผลผลิตน้อยและราคาค่อนข้างสูงในช่วง ส.ค.-ต.ค. ของทุกปี โดยราคารับซื้อหน้าสวนช่วงแพงจะอยู่ที่ 35-40 บาท/กก. ราคาขายส่งที่ตลาดไทอยู่ที่ 45-55 บาท/กก. สาเหตุที่มะละกอในช่วงนี้มีผลผลิตน้อยทุกปี ก็เพราะมะละกอที่จะเก็บได้ในช่วง สค.-ต.ค. ต้องเป็นมะละกอที่จะต้องออกดอกในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศค่อนข้างร้อนจัด ดังนั้น ดอกมะละกอที่ออกช่วงนี้จึงมีโอกาสร่วงสูงมาก ทำให้มะละกอติดผลน้อยอีกทั้งสภาพความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของมะละกอ การขาดน้ำในช่วงออกดอกก็ส่งผลทำให้ดอกร่วงเช่นกัน ในช่วงอากาศร้อนยังทำให้มะละกอมีโอกาสที่ดอกสมบูรณ์เพศจากมะละกอต้นกะเทยจะเปลี่ยนไปเป็นดอกตัวเมียซึ่งให้ผลกลมอันเป็นลักษณะที่ตลาดไม่ต้องการได้อีกด้วย

 

มะละกอฮอลแลนด์ยังน่าลงทุนแม้จะไม่ใช่ช่วงผลผลิตน้อยก็ตาม

อย่างไรก็ตาม คุณหนึ่งฤทัย บอกว่า ตลาดมะละกอสุกเติบโตขึ้นมากจากความนิยมของผู้บริโภค  เนื่องจากมะละกอมีรสชาติที่อร่อย อีกทั้งยังเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ ตลาดจึงมีความต้องการสูง ขณะที่หลายพื้นที่ที่เคยเป็นแหล่งปลูกมะละกอมานานเกิดการสะสมและระบาดของโรคไวรัสจุดวงแหวน จึงทำให้ผลผลิตมะละกอไม่เพียงพอกับความต้องการและมีราคาสูงมาตลอดช่วง 2-3 ปีมานี้  เนื่องจากพื้นที่ปลูกมะละกอฮอลแลนด์ในแหล่งเดิมหายไป ขณะที่พื้นที่ใหม่ที่มาปลูกมะละกอก็ยังไม่สามารถเพิ่มขึ้นทดแทนพื้นที่เดิมได้ มะละกอจึง เป็นพืชที่น่าสนใจในการลงทุนเป็นอย่างมาก

ราคามะละกอในช่วงปกติรับซื้อหน้าสวนจะอยู่ประมาณ 15-20 บาท/กก. ขณะที่ต้นทุนการผลิตไม่สูงมากหรือประมาณ 5-6 บาท/กก. จึงนับว่าเป็นโอกาสสำหรับคนที่มองหาพืชที่มีผลตอบแทนที่ดี ต้นทุนไม่สูง โดยมะละกอมีต้นทุนอยู่ที่ 15,000-20,000 บาท/ไร่ นับจากปลูกจนถึงเริ่มเก็บเกี่ยว คือ 8 เดือน ซึ่งหลังจากได้เก็บผลผลิตแล้ว มะละกอจะสามารถเก็บผลผลิตได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง พื้นที่ 10 ไร่ จะเก็บได้ประมาณ 2,500-3,000 กก.ต่อรอบ หรือสามารถเก็บผลผลิตได้เดือนละ 5-8 ครั้ง โดยมีรายได้ต่อรอบอยู่ที่ 25,000-30,000 บาท ซึ่งนับว่าเป็นรายได้ที่ค่อนข้างดีทีเดียว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มะละกอพื้นที่ 10 ไร่ จะสามารถทำรายได้หลักล้านได้ไม่ยาก หากสามารถมีผลผลิตมะละกอที่มีคุณภาพดีป้อนตลาด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ที่ คุณหนึ่งฤทัย แพรสีทอง แผงเกด-หนึ่ง ตลาดไท อาคารผลไม้ฤดูกาล โทรศัพท์ 089-783-5887