ถอดใจเกือบล้ม “เจลลีน้ำผลไม้ Jello Boom” พลิกกลยุทธ์ สร้างยอดขายทะลุหลักแสนต่อเดือน

ถอดใจเกือบล้ม “เจลลีน้ำผลไม้ Jello Boom” พลิกกลยุทธ์ สร้างยอดขายทะลุหลักแสนต่อเดือน

จากนักวิจัยด้านไบโอเทค อยู่ที่ประเทศเยอรมนีถึง 3 ปี พอหมดสัญญา หวังกลับมารับตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย แต่ยังไม่ทันเริ่มเส้นทางของความเป็นอาจารย์ กลับเลือกทางเดินสายใหม่ในการทำธุรกิจแทน

คุณตาว-ดร.รสรินทร์ รุจนานนท์ อายุ 39 ปี Managing Director แบรนด์ Jello Boom ได้เผยเรื่องราวของเส้นทางธุรกิจ ที่จับมือร่วมกับเพื่อนสนิท คุณวิป-สันต์​อาวี​ กรรณ​ล้วน​ อายุ​ 40 ปี Managing Director แบรนด์ Jello Boom กว่าจะประสบความสำเร็จได้ถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

คุณตาว-ดร.รสรินทร์ รุจนานนท์ และ คุณวิป-สันต์​อาวี​ กรรณ​ล้วน​ Managing Director แบรนด์ Jello Boom

จุดเริ่มต้นของ Jello Boom

ย้อนไปเมื่อ 6 ปีก่อน คุณตาว เล่าให้ฟังว่า พอหมดสัญญาของการเป็นนักวิจัยในประเทศเยอรมนีแล้ว ได้เดินทางกลับมาที่ประเทศไทย และวางแผนเอาไว้ว่าจะเข้าสมัครรับตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

แต่ด้วยการเปิดรับสมัครตำแหน่งอาจารย์ยังไม่ถึงวันที่เปิด เลยเป็นช่วงที่ว่างพอดี ในระหว่างนั้น ได้ไปเจอโพสต์ในเฟซบุ๊ก โดยโพสต์นั้นเป็นวุ้นสามมิติ ซึ่งโดยส่วนตัว เธอเป็นคนที่ชอบกินวุ้นและเจลลีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้เธอหยุดชะงัก และในเสี้ยววินาทีนั้น ทำให้เกิดเป็นความคิดขึ้นมาว่า 

“เอ๊ะ เราอยากทำวุ้นที่มันมีความชุ่มฉ่ำคอ มัน Juicy มันมีไหมนะ มันเป็นเหมือนเสี้ยววินาทีที่จินตนาการเราในเวลานั้น” 

หลังจากนั้น เธอได้นำความคิดที่เกิดขึ้นมาเพียงเสี้ยววินาที ไปค้นหาในแหล่งต่างๆ ปรากฏว่า สิ่งที่คิดไว้ ยังไม่มีเลยในท้องตลาด เลยตัดสินใจโทรหาคุณวิป เพื่อนสนิทของเธอ เพื่อถามถึงข้อมูลในเรื่องนี้

คุณตาว เล่าต่ออีกว่า เมื่อได้คุยกับคุณวิปแล้ว ยิ่งทำให้มีความเชื่อมั่น และมุ่งมั่นมากขึ้น ประจวบกับ หนึ่งในความใฝ่ฝันของคุณวิป มีความคิดที่อยากจะเป็นนักธุรกิจ เลยแนะนำเธอว่า ถ้าคุณตาวทำเจลลีในลักษณะนี้ได้ มันจะเป็นช่องทางธุรกิจได้เลย

“ตาวไม่ใช่นักวิจัยด้านฟู้ดโดยตรงนะ ตาวเป็นด้านไบโอเทค แต่ตาวมีองค์ความรู้ที่คิดว่าเป็นไปได้” คุณตาว เล่า

ด้วยคำพูดของเพื่อนสนิทและบวกกับความคิดที่หนักแน่นของเธอ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดทำสิ่งนี้ขึ้น

ตลอดระยะเวลา 4 เดือน เธอได้ทดลองแล้วทดลองอีก ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ด้วยที่ไม่ยอมย่อท้อต่อปัญหานี้ ทำให้เจลลีเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น แต่นั่นก็ยังไม่ถึง 100% ตามที่เธอคิดเอาไว้ แต่ก็ยังคงพัฒนามาเรื่อยๆ ปรับให้ได้สูตรที่เหมาะสม จนเกิดเป็นรสชาติแรกที่ทำออกมาคือ รสสตรอเบอร์รี และใช้ชื่อว่า วุ้นระเบิด

ซึ่งการทดลองใน 4 เดือนแรก เพื่อนคู่คิดของเธอก็ยังคงช่วยเหลือ และร่วมกันคิดพัฒนามาโดยตลอด แต่ด้วยตัวคุณวิปเองยังคงอยู่ที่ต่างประเทศและยังต้องใช้เวลาในการตัดสินใจกับทางเลือกของตนเอง ว่าจะใช้ชีวิตในต่างประเทศต่อ หรือจะกลับมาสู้ และเริ่มต้นธุรกิจดี จึงทำให้ในการทดลองตลาด เป็นการทดลองด้วยตัวคุณตาวเพียงคนเดียว 

ครั้งแรกที่ลงขาย เธอเลือกไปที่ตลาดน้ำบางคล้า เพียงเพราะว่า มันคงจะมีนักท่องเที่ยวเยอะ และมองเห็นถึงสินค้าของเธอได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะลูกค้าต่างให้ความสนใจ และตะลึงในตัวเจลลีที่มันมีน้ำผลไม้อยู่ข้างใน

หลังจากที่คุณวิปตัดสินใจกลับมาเดินในเส้นทางธุรกิจ ทั้งคู่จึงได้เริ่มธุรกิจอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยไปทดสอบตลาดมากขึ้น และได้รับผลตอบรับที่ดีมากขึ้น มีความต้องการมากขึ้น และวางจำหน่ายตามร้านขายฝากในตัวจังหวัดฉะเชิงเทรา จึงตัดสินใจเช่าอาคารพาณิชย์ เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการผลิต

เปลี่ยนแปลงที่แลกมาด้วยความอดทน

จากที่ได้เริ่มทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ในช่วงแรกที่มองเห็นว่าจะไปได้สวย แต่เมื่อได้ลองมองดูถึงปัญหาในตัวสินค้า กลับพบว่า เหตุที่ทำให้สินค้าของเธอไม่สามารถเติบโตไปข้างหน้าได้เลย นั่นคือ อายุการรักษาที่สั้น ซึ่งในตอนแรก เจลลีที่ผลิตออกมาสามารถเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นได้เพียง 14 วันเท่านั้น สิ่งนี้จึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหลุมใหญ่เสียด้วย

ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจเลยสักนิด จึงคิดที่จะศึกษาความรู้เพิ่มเติมในด้านการเป็นผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการอบรมผู้ประกอบการใหม่ ซึ่งเธอทั้งสอง ไม่มีความย่อท้อ และอดทนต่อการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ จนทำให้ไปเจอจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ คือ การได้นำวุ้นระเบิด ไปวางขายที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ผลตอบรับถือว่าดีมาก 

แต่ปัญหาในตัวสินค้ายังคงมีอยู่ ทั้งในเรื่องของการเก็บรักษา บรรจุภัณฑ์ที่ยังไม่ตอบโจทย์ และการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน จึงทำให้พวกเธอต้องคิดต่อยอดและพัฒนาปัญหาเหล่านี้ให้ดีขึ้น โดยเข้าร่วมพัฒนาในเรื่องผลิตภัณฑ์กับ Food Innovations Center มาช่วยในเรื่องของการเก็บรักษาได้นานมากขึ้น จาก 14 วันที่ต้องแช่เย็น ปัจจุบัน สามารถเก็บรักษาได้ถึง 1 ปี โดยไม่ต้องแช่เย็น

ในส่วนของบรรจุภัณฑ์ พวกเธอได้ค้นหาพาร์ตเนอร์ในด้านนี้คือ การเข้าร่วมโครงการ ITAP ของ สวทช. ซึ่งได้จับคู่กับ บริษัท ยินดีดีไซน์ จำกัด ทั้งผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ได้ร่วมกันพัฒนากันมาเป็นเวลาร่วมปี และได้เปลี่ยนชื่อเป็น Jello Boom โดยยังคงรากเดิมไว้ คือ วุ้นระเบิด

ภาพจาก เพจ JelloBoom

เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ได้ปล่อยตัว แต่เป็นช่วงที่โควิดกำลังเริ่มระบาด แต่การวางขายในรูปแบบออนไลน์ไม่ได้มีปัญหา กลับได้รับกระแสตอบรับที่ดี และเป็นช่วงที่สร้างรายได้ได้มากขึ้นกว่าเดิม 

แต่เมื่อโรคระบาดเริ่มลดน้อยลง ยอดขายในออนไลน์ก็ลดลง เพราะทางด้านการตลาดของเธอไม่ค่อยเก่ง และได้จ้างเอเยนซี แต่ผลตอบรับไม่ได้อย่างที่คิด แต่โชคชะตาเล่นตลกกับเธอไม่นาน จึงทำให้พวกเธอไปพบกับ Tops โดยมีโครงการ Tops ท้องถิ่น สุดท้ายกลายมาเป็นผู้ที่ช่วยยก Jello Boom ที่กำลังจะจมน้ำ ให้ขึ้นมาเหนือน้ำได้

โดย Tops ท้องถิ่น ได้ช่วยพวกเธอในเกือบทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การทำการตลาด การโปรโมตสินค้า การทำคอนเทนต์ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด แต่กลับเป็นการเพิ่มยอดขายได้ถึงหลักแสนต่อเดือน เป็นรายได้ที่มากกว่าเดิมถึง 5 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่ก้าวกระโดด และประสบความสำเร็จไปอีกหนึ่งขั้น

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ชีวิตในการทำธุรกิจ ไม่ได้จะมีแค่ด้านบวกเพียงอย่างเดียว คุณตาว เล่าว่า เคยมีประสบการณ์ที่เป็นสิ่งที่ทำให้ฉุกคิดไปชั่วขณะ แต่ยังดีที่มีความอดทน จึงทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้จนถึงทุกวันนี้

“ตาวเคยไปสมัครโครงการที่อื่น ซึ่งเป็นโครงการของ SMEs นี่แหละ ปรากฏว่า เราไม่ผ่านด้วยความว่า คุณไม่เคยวางที่ไหนเลยเหรอ คุณจะมีศักยภาพในการวางออฟไลน์เหรอ ที่มันแพงนะ เราก็แบบเสียใจมาก คือไม่ได้ดูที่ตัวสินค้าเหรอ เราก็เฟลเหมือนกัน” คุณตาว เล่า

“ถือว่าประสบความสำเร็จในขั้นหนึ่ง แต่เรายังมีขั้นต่อไปที่เราคาดหวัง เราอยากจะให้สินค้าของเราเป็นสิ่งที่คนไทยเองก็นึกถึง ไม่ว่าเทศกาลอะไรก็คิดถึง นอกจากคนไทยแล้ว อยากจะให้ชาวต่างชาติมาเมืองไทยแล้วซื้อกลับไป เพื่อว่า เออ ถึงเมืองไทยแล้ว” คุณตาว กล่าว

คุณตาว อยากจะฝากถึงคนที่กำลังจะเริ่มทำธุรกิจ หรือผู้ที่กำลังประสบปัญหาและท้อจนเดินต่อไปไม่ไหว โดยเธอฝากกับเราไว้ว่า

“การเริ่มต้นแรกๆ บางทีมันไม่ได้เป็นเม็ดเงินหรอก ขาดทุนแน่นอน อย่าวัดว่าคุณจะไปต่อหรือไม่ไปต่อในการขาดทุน หรือกำไร แต่ต้องวัดด้วยว่าคุณมีการเติบโตหรือเปล่า มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไหม ถ้าคุณมีการเปลี่ยนแปลง มีการเติบโต นั่นแหละ มันมีทางที่ใช่แล้ว ต่อให้วันนี้คุณไม่เห็นเงินตามที่คุณคิดก็ตาม” 

สุดท้ายแล้ว การทำธุรกิจอะไรก็ตาม ต้องเริ่มจากความรักและสิ่งที่ชอบ และยังต้องมีความเชื่อมั่น ทั้งในความเชื่อมั่นในตัวเอง ความเชื่อมั่นในตัวสินค้า พยายามปิดช่องโหว่ และเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป อย่างที่คุณตาวและคุณวิป กำลังทำอยู่

ติดต่อเพิ่มเติม JelloBoom

 

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566