แค็กตัส พลิกชีวิต สาวออฟฟิศเงินเดือนสองหมื่น สู่เจ้าของสวนรายรับหลักแสน

แค็กตัส พลิกชีวิต สาวออฟฟิศเงินเดือนสองหมื่น สู่เจ้าของสวนรายรับหลักแสน
แค็กตัส พลิกชีวิต สาวออฟฟิศเงินเดือนสองหมื่น สู่เจ้าของสวนรายรับหลักแสน

แค็กตัส พลิกชีวิต สาวออฟฟิศเงินเดือนสองหมื่น สู่เจ้าของสวนรายรับหลักแสน

มีทุนตั้งต้นเป็นความชอบ สะสมเรื่อยมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน วันว่างยามใดเป็นต้องไปเดินตามตลาดต้นไม้ ซื้อหามาเก็บไว้เท่าที่เงินในกระเป๋าจะอำนวย

“พ.ศ. 2535 เขาอาจฮิตกันแล้วแต่จำไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่า เห็นแล้วน่ารักดี เป็นต้นไม้มีหนาม จึงสะสมมาเรื่อยๆ แพงเหมือนกันนะ ต้นละ 10 บาท ขณะที่ค่ารถเมล์แค่ 2 บาทเอง” คุณจิ๊บ-สุนทรียา ฮวบดี เจ้าของกิจการ แคคตัสลุงเหน่ ที่หลายคนในแวดวงคนรักแค็กตัส อาจคุ้นเคยกันดี

คุณจิ๊บ-สุนทรียา ฮวบดี
คุณจิ๊บ-สุนทรียา ฮวบดี

ปัจจุบัน คุณจิ๊บมีสวนแค็กตัสในความดูแลถึง 2 ทำเล คือ ท่าข้าม พระรามสอง และ คลอง 11 รังสิต-นครนายก เธอแนะนำตัวให้รู้จักกันมากขึ้น พื้นเพเป็นคนบางมด อาชีพดั้งเดิมของปู่ย่า คือ ทำสวนส้ม รุ่นพ่อแม่เลิกทำสวน หันมาทำงานรัฐวิสาหกิจกับงานบริษัท แต่ตัวเธอยังมีความชอบปลูกต้นไม้ทุกชนิด ซึ่งอาจซึมซับมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าก็ได้ แต่ก็เป็นงานอดิเรกแบบเด็กๆ คือ รอดบ้าง ตายบ้าง เป็นโรคบ้าง ส่วนความรู้ในการปลูกนั้น ได้มาจากหลายแหล่ง ทั้งอ่านหนังสือ ใช้วิธีสังเกต และถามไถ่ผู้รู้

ทำงานอดิเรกที่รักมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งถึงวัยทำงาน ราวปี 2546 แค็กตัส นานาพันธุ์ ที่สะสมและขยายพันธุ์จำนวนไม่น้อย จึงถูกทยอยออกมาอวดโฉมหน้าบ้าน ที่มีเพิงเล็กๆ เป็นเหมือนชั้นโชว์ รอลูกค้ามาเลือกซื้อหา

“บ้านเราติดถนนในซอย เลยเปิดเป็นร้านขายแค็กตัส มีพ่อแม่ ช่วยดูด้วย ตอนนั้น ขายดีมาก มีลูกค้าประจำด้วย แต่เปิดได้ 2 ปี มีเหตุต้องออกจากบริษัทเดิมไปอยู่ที่ใหม่ เลยเลิกทำร้านไป เพราะไม่มีเวลาดูแล” คุณจิ๊บ ย้อนความทรงจำให้ฟัง

แคคตัสลุงเหน่
แคคตัสลุงเหน่

 

ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า จริงจังงานอดิเรก

แม้จะเลิกทำร้านหน้าบ้าน แต่ไม่เคยละทิ้งงานยามว่างที่รัก กระทั่งราวปี 2555 คุณจิ๊บมีเหตุต้องเปลี่ยนงานอีกครั้ง คราวนี้ได้งานประจำที่สามารถ “เข้าเย็น เลิกดึก” ช่วงเช้าถึงบ่ายจึงมีเวลาว่าง เธอเลยถือโอกาสหันมารื้อฟื้นการเลี้ยง การสะสม การขยายพันธุ์แค็กตัส จริงจังอีกครั้ง

และเมื่อมีจำนวนพอสมควร จึงนำออกขายหารายได้เสริม แต่คราวนี้แทนที่จะขายแค่หน้าบ้านอย่างเดียว เธอปรับรูปแบบ โดยหิ้วมาขายให้เพื่อนๆ ที่ออฟฟิศใหม่ด้วย

“ไปสวนที่เคยซื้อราคาส่ง ต้นละ 10 บาท หรือ 12 ต้น 100 เลี้ยงไว้พักหนึ่งเพราะต้นเขายังเล็ก เลี้ยงได้เดือนสองเดือน ก็ค่อยเอาไปขาย ต้นละ 30-40 บาท ขายดีนะ คนชอบเยอะ เหมือนเพื่อนๆ ช่วยซื้อคนละร้อยสองร้อย ประกอบกับตอนนั้นพ่อเกษียณอายุพอดี เลยปรับปรุงเพิงหน้าบ้านอีกครั้ง ตั้งชื่อว่า สวนแคคตัสลุงเหน่ กะให้พ่อช่วยดูแลตอนเราไปทำงาน” คุณจิ๊บ เล่าที่มาของสวนแรก

และจากหน้าที่งานประจำที่ทำในช่วงเวลานั้น ทำให้เธอมีเวลาว่างช่วงเช้าถึงบ่าย คุณจิ๊บจึงมีเวลาตระเวนวิ่งไปหาไม้ตามสวน จับไม้มาขาย และมีเวลามานั่ง “ทำไม้” มากขึ้น

“คำว่า ทำไม้ แปลว่า พอซื้อต้นเล็กๆ มา กระถางอาจไม่สวย เอามาเปลี่ยนกระถาง จัดให้สวย เปลี่ยนดิน ใส่ปุ๋ย ไม่ใช่ซื้อมาด้วนๆ จากสวน แล้วขายต่อเลย ต้องพิถีพิถันก่อนขาย ต้องคิดว่าไม้ที่ออกไป มันเป็นชื่อของเรา เครดิตร้านของเรา ต้องทำให้มันดี ซื้อไป ต้องอยู่ ไม้แข็งแรง ไม่ตาย คือ ต้องขายของดีทุกกระถางค่ะ” คุณจิ๊บ อธิบายอย่างนั้น

ก่อนลาออกคิดหนัก แต่ไม่เกี่ยวกับรายรับ

เจ้าของสวน แคคตัสลุงเหน่ เผยให้ฟังด้วยว่า รายรับจากงานอดิเรกนี้ ดีขึ้นตามลำดับ ชนิดขายดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะนอกจากจะมีหน้าร้านที่หน้าบ้านแล้ว ยังทำเพจขึ้นมาขายออนไลน์ ภารกิจประจำ คือ ถ่ายรูปแค็กตัส จัดชุด ก่อนนำไปส่งไปรษณีย์

“การจัดชุด คือ แค็กตัสแบบคละกัน 5 ต้น 350 บาท รวมส่งทั้งกระถาง เป็นไอเดียที่ได้จากการดูหลายๆ ตัวอย่างจากร้านอื่น แต่ตอนนั้นเราเป็นหน้าใหม่ เลยขายให้ถูกกว่านิดหนึ่ง ขายถูก ส่งฟรี มีของแถมด้วย เป็นการโปรโมตร้านทางหนึ่ง คนเลยบอกกันปากต่อปาก ไม้ถูกนะ ไม้ดีนะ เริ่มมีคนแชร์ มีคนไลก์ มีคนวิ่งมาหาที่ร้าน” คุณจิ๊บ เผยเทคนิค

จากรายรับเดือนแรก เดือนละ 5 พันบาท พอได้เป็นค่าเติมน้ำมันรถขับไปทำงานบริษัท พอปีที่ 2 ปีที่ 3 ขยับขึ้นเป็นเดือนละ 2-3 หมื่นบาท เพราะขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งออนไลน์ ทั้งหน้าร้าน คุณจิ๊บจึงเริ่มลงทุนซื้อแม่พันธุ์ที่คนกำลังนิยมมาทำ มาชำหน่อ มาขยายพันธุ์ กระทั่งถึงจุดทุ่มเท ไม่ไปไหนเลย ทำต้นไม้อย่างเดียว

แต่แล้วมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่องานประจำมีคำสั่งใหม่ จากที่สามารถเข้าเย็นเลิกดึก กลายเป็นต้อง สแตนด์บายประจำออฟฟิศ วันละ 8-9 ชั่วโมง ทำให้คุณจิ๊บไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงไปทำไม้ ประกอบกับหุ้นส่วนอีกท่านลาออกจากงานพอดี เลยชวนกันมาช่วยทำกันแบบเต็มตัว โดยขยายสวนไปที่คลอง 11 รังสิต-นครนายก ซึ่งเป็นที่ดินของหุ้นส่วนนั่นเอง

“ลาออกจากงานประจำที่ทำล่าสุด เมื่อสิงหาคม 2563 แต่มีการเตรียมตัวไว้บ้าง คือ เพาะเมล็ดแค็กตัสไว้ได้ปีหนึ่งแล้ว ประกอบกับมีไม้มากขึ้น จึงอยากขยับขยายสวน เพราะถ้าไม้มันแออัดอาจเป็นโรคได้” คุณจิ๊บ บอกเหตุผล

ก่อนเล่าเสียงหม่นลงเล็กน้อย

“ตอนจะลาออกคิดหนักเหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดหนักเรื่องเงินนะ คิดถึงบรรยากาศในที่ทำงานมันมีความสุขมากกว่า ส่วนเรื่องรายได้ไม่ใช่ประเด็น ตัดไปได้เลย เพราะเงินเดือนที่ได้น้อยมาก ที่ผ่านมาต้องเอาเงินจากขายต้นไม้ซื้อน้ำมันใส่รถขับไปทำงานซะด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกมาทำต้นไม้เต็มตัวทั้ง 2 สวน”

สุขต่างกันลิบ ชีวิตชาวสวนกับสาวออฟฟิศ

สนทนามาถึงตรงนี้ ดูเหมือนเจ้าของเรื่องราวจะไม่มีอุปสรรคอะไร ในการเริ่มต้นอาชีพใหม่ แถมยังดูเหมือนจะไปได้ดีกว่างานประจำที่ทำมาด้วย คุณจิ๊บนึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนบอกจริงจัง

“สิ่งที่เจอไม่คิดว่าเป็นอุปสรรค เลยไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรที่ยาก ปลูกไปแล้วขายขาดทุนก็มี แต่คิดว่าได้กำไรแล้ว การที่เห็นต้นไม้รอดนั่นก็คือกำไร เพราะเรารักมันไง ได้เห็นทุกวันมีความสุขแล้ว และไม่มีคำว่าขายไม่ได้ ขายถูกๆ ก็ขายได้ อย่าคิดว่าต้องขายได้แพงๆ ถึงยังไงราคาไม่ตกเท่าทุนหรอก เพราะเป็นไม้ที่ผลิตเอง กำไรอาจถัวๆ กันไป”

เมื่อถามว่ามีความสุขแตกต่างกันยังไง ระหว่างชีวิตสาวออฟฟิศกับชีวิตชาวสวนแค็กตัส คุณจิ๊บ บอกยิ้มๆ

“ทำงานออฟฟิศต้องทำภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด ภายใต้กฎเกณฑ์ที่บริษัท สร้างขึ้นมา ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวเรา มันเลยทั้งเมื่อย ทั้งเหนื่อย ไม่มีแรงขับขนาดนั้น แต่มาทำสวน แฮปปี้มาก เพราะชอบอยู่แล้ว ชีวิตคนเรามันสั้น เวลาเหลือน้อยแล้ว ได้ทำในสิ่งที่มีความสุข คงจะดีกว่า”

ก่อนบอกอีกว่า

“สมมติ ไปเคร่งเครียดกับรายได้ จะขายได้รึเปล่า ถ้าคิดเรื่องเงินตั้งแต่แรก ไม่คิดเรื่องผลงานก่อน จะไปไม่รอด เลยไม่คิดว่าจะขายได้รึเปล่า มีกำไรรึเปล่า เปลี่ยนเป็นคิดว่า จะทำอะไรให้ดีที่สุด ให้คนที่มาซื้อมีความสุขก่อน อย่าง คนขายก๋วยเตี๋ยว ควรคิดทำก๋วยเตี๋ยวยังไงให้อร่อยที่สุดก่อน อย่าไปคิดแต่รายได้ก่อน”

ถามถึงภารกิจประจำวัน คุณจิ๊บ สรุปให้ฟังคร่าวๆ ตื่นนอนประมาณตี 5 ครึ่งถึง 6 โมง เดินออกจากห้องนอนก็เจอโรงเรือนปลูกแค็กตัสเลย ยังไม่ทันอาบน้ำ เดินดูต้นไม้ก่อน ดินแห้งรึเปล่า ที่ขายไปอะไรพร่องไปบ้าง จัดไม้ให้พร้อมขาย มี 6 โรงเรือนสำรวจหมด จำได้ทุกต้น ใช้เวลาถึง 10 โมง จึงไปอาบน้ำกินข้าวก่อนกลับมาทำไม้ต่อ

“งานอดิเรกที่ทำแล้วมีความสุข วันหนึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ทำรายได้ให้เป็นอย่างดี ถามว่าดีแค่ไหน ถ้าเซาๆ หน่อย หน้าร้านแคคตัสลุงเหน่ที่ท่าข้าม รายรับเดือนละ 2 แสน ส่วนที่คลอง 11 รายได้เดือนละ 4-5 แสน หักค่าใช้จ่าย ค่าคนงาน ค่าของ ค่าน้ำค่าไฟ ยังเหลือใช้กับหุ้นส่วน คนละ 1.5-2 แสนบาทต่อเดือน” คุณจิ๊บ เผยอย่างนั้น

ได้ทำงานที่รัก แถมรายรับไม่ธรรมดา ชีวิตช่างน่าอิจฉา คุณจิ๊บ บอกส่งท้ายถึงประเด็นนี้ว่า

“มีคนพูดแบบนี้เยอะ เพื่อนออฟฟิศด้วยกันนี่แหละ เป็นรุ่นน้อง เขาชอบแค็กตัส แต่ไม่กล้าทำ บอกไม่มีทุน แต่ทุนไม่สำคัญนะ เพราะตัวเราก็ไม่ได้มีทุนมากมายมาก่อน เริ่มจากการสะสมเรื่อยๆ ระหว่างนั้นยังยึดงานประจำไว้ เงินพิเศษได้มาก็เอามาซื้อแค็กตัส ไม่ได้ซื้ออะไรฟุ่มเฟือย ความใส่ใจสำคัญมากกว่าทุน การเป็นเจ้าของกิจการต้องทุ่มทั้งตัว ถามตัวเองว่าพร้อมรึยังก่อน แล้วค่อยเริ่ม แต่ถ้าเริ่มด้วยการคิดถึงอุปสรรคปัญหา มันอาจไปต่อไม่ได้”

เผยแพร่เมื่อ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564