คุณลุงวันเลิด ต้นตำรับ ชาบู นางใน เปิดหลักคิดปั้นแบรนด์ ยึดความสุขของลูกค้าเป็นหลัก

จากดราม่า ร้านชาบูดัง เมื่อลูกค้ารายหนึ่ง เปิดเผยเรื่องราว กินบุฟเฟ่ต์ แต่กลับถูกร้านขู่เก็บเงินเพิ่ม เพราะทานเยอะเกินไป ภายหลังร้านชาบูดัง ออกมาโต้กลับว่า ลูกค้ารายนี้เป็นลูกค้าประจำมานาน 3 ปี และมักจะทานเนื้อล้วน ทางร้านจึงแจ้งลูกค้า โดยไม่มีการข่มขู่ ว่า สามารถทานได้ แต่ครั้งหน้ามีนโยบายขอขึ้นราคาบุฟเฟต์เนื้อแบบไม่อั้น ทานเนื้ออย่างเดียว หรือรวมกุ้งล้วนอย่างเดียว เป็นราคา 549 หรือ เพิ่มจากเดิม 200 บาท และไม่จำกัดเวลาเช่นเดิม

ซึ่งเรื่องดังกล่าวถูกพูดถึง และวิพากษ์วิจารณ์ออกไปในหลายแง่มุมมอง หากมองในอีกมุม ร้าน ชาบู ชาบู นางใน เป็นร้านที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ถึงขนาดว่า ลูกค้ายอมยืนต่อแถวรอคิวเพื่อช่วงชิงเก้าอี้ แล้วเข้าไปนั่งกินชาบูชิลๆ ในร้าน

คุณชนิดา ศิริพงษ์ เจ้าของธุรกิจ เคยให้สัมภาษณ์กับ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ เมื่อปี 2558 ว่า ชาบู ชาบู นางใน เกิดจากความตั้งใจของ คุณวันเลิด พวงพยอม ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งหากย้อนไปกว่า 6 ปีก่อนหน้านี้ คุณวันเลิด คือชายวัยใกล้เกษียณ ที่เริ่มต้นกับการมองหาอาชีพไว้รองรับหลังผละจากงานประจำ ในตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงินขององค์กรแห่งหนึ่ง

แม้คุณวันเลิดจะไม่ชื่นชอบการเข้าครัว แต่ทว่าหากเมื่อใดลงมือปรุงอาหาร ทุกคนที่ลิ้มรสเป็นต้องยกนิ้วหัวแม่มือให้ ซึ่งคุณชนิดาเองก็เป็นเช่นพี่ชาย โดยคาดว่า ผลมาจากรสนิยมในการทานอาหาร เป็นคนช่างทาน และเลือกสรรเมนูคุณภาพดี รสอร่อย

“สำหรับพี่วันเลิดยังมีความพิเศษ ที่อาจเรียกได้ว่าพรสวรรค์ คือไม่ว่าจะลิ้มรสเมนูใดก็สามารถคาดเดาได้ว่ามีส่วนผสมใดใส่ลงไปบ้าง”

ฉะนั้น ในวันที่คุณวันเลิดเอ่ยคุยกับเพื่อนเพื่อขอคำปรึกษาต่อการก้าวสู่ธุรกิจอิสระ เพื่อนๆ จึงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรเปิดร้านอาหาร

ส่วนว่าทำไมจึงเลือกเมนูชาบูนั้น คุณชนิดา เล่าว่า “ประมาณ 6 ปีที่แล้ว เริ่มเข้าสู่กระแสร้านชาบู ถึงแม้ว่าจะมีร้านเกิดขึ้นไม่มากแห่ง แต่เพื่อนๆ พี่ชายก็ว่าไปได้ดี แต่ถามว่าพี่ชายทำเป็นมั้ย ไม่เคยทำมาก่อนเลย ไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ตอนนั้นจึงเริ่มต้นด้วยการชิม ถึงขนาดเดินทางไปลิ้มรสต้นตำรับที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้รู้รสชาติต้นฉบับของเขาก่อน”

จุดประสงค์ในการทานของคุณวันเลิดไม่ใช่เพียงเพื่ออร่อย แต่เป็นการทานเพื่อรับองค์ความรู้ ดังนั้น เมื่อลิ้มรสแล้วจะพิจารณาว่า ในส่วนผสมนั้นๆ มีวัตถุดิบใดปรุงแต่งลงไปบ้าง

หลังชิมรสชาบูฝีมือคนอื่น ก็นำสู่ขั้นตอนทดลองทำ โดยใช้เวลาปรุงแต่งปรับสูตร เพื่อให้เข้ากับโจทย์ผู้บริโภคคนไทย

1 เดือนก้าวผ่าน 2 ส่วนหัวใจสำคัญของชาบูคือ น้ำซุป และน้ำจิ้มชาบู หรือที่เรียกว่า พอนสึ รวมไปถึงอีก 3 น้ำจิ้มที่ปรุงแต่งเอาใจลูกค้าช่างเลือก ได้แก่ น้ำจิ้มซีฟู้ด น้ำจิ้มเต้าหู้ยี้ถั่วงา และน้ำจิ้มสูตรหัวไชเท้าผสมพริกชี้ฟ้าแดง ก็เข้าที่เข้าทาง พร้อมเริ่มดำเนินการเปิดร้านแรก ย่านพระราม 9 ซอย 41

ในสายตาของนักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่า ทำเลดีต้องติดถนน เข้าถึงง่าย ใกล้ผู้บริโภค มีจุดเด่นในด้านการมองเห็นชัดเจน หรือไม่เช่นนั้นควรอยู่ในศูนย์การค้าใหญ่ หรือในห้างสรรพสินค้า แต่ทว่ากับคุณวันเลิดกลับมองว่า การทานอาหารให้ได้บรรยากาศดีที่สุดคือทานอยู่ในบ้าน

บ้าน จึงเป็นทำเลทองของชาบู ชาบู นางใน แม้อาจไม่ได้อยู่ในจุดมองเห็นง่าย แต่ทว่าถ้าเสิร์ฟอาหารดี มีคุณภาพ สะอาด สำคัญคือ รสอร่อย มีหรือใครจะไม่มา

ไม่ใช่แค่อาหารอร่อย คุณภาพดี ที่ชาบู ชาบู นางใน ให้บริการจัดเสิร์ฟ แต่สิ่งเหนือกว่านั้นคือ ความสุข และความสบายใจ ซึ่งพร้อมมอบให้ผู้บริโภค

“การได้เห็นลูกค้ามาทานอาหารแล้วมีความสุข สบายใจ คือสิ่งที่เราปรารถนา ฉะนั้น ชาบู ชาบู นางใน จึงให้ความสำคัญกับความรู้สึก อย่างเวลาทานอาหารลูกค้าไม่ต้องรีบ เนื่องด้วยเราไม่จำกัดเวลากับบุฟเฟ่ต์ แม้วิธีนี้จะทำให้ได้รอบบริการน้อยลง รายได้ลดลง กำไรน้อยตาม แต่ลูกค้าจะกลับมาซ้ำ ลูกค้าเกิดความผูกพัน เกิดการบอกต่อ และสำคัญคือ เกิดความสุข”

คุณชนิดา ยังบอกถึงเคล็ด (ไม่) ลับ กับเส้นทางสู่ความดัง “ตอนที่พี่ชายเปิดธุรกิจต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ร้านจึงเริ่มเป็นที่รู้จัก นั้นเพราะเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แม้ร้านชาบูจะเริ่มเป็นกระแส แต่ว่ากับชาบู ชาบู นางใน คือความใหม่ และเราก้าวเข้ามาทำธุรกิจโดยเลือกทำเลนอกห้าง การรับรู้ต้องใช้เวลา แต่เมื่อมีคนมาทานแล้วกลับมาซ้ำ และบอกต่อ ซึ่งปัจจัยทำให้เกิดสิ่งนี้ไม่มีอะไรมากแค่ อร่อย คุณภาพดี สะอาด บรรยากาศอบอุ่น ที่เรายินดีมอบให้”

จากคุณสมบัติดังกล่าว ส่งผลให้ชาบู ชาบู นางใน กลายเป็นร้านได้รับความนิยมจากผู้บริโภค จนเกิดปรากฏการณ์ต่อแถว ซึ่งจนถึงวันนี้ปรากฏการณ์นี้ไม่มีทีท่าจางหาย และไม่เพียงผู้บริโภคสนใจรอเข้าไปจับจองเก้าอี้เพื่อลิ้มรสความอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีผู้สนใจขอซื้อสิทธิ์นำไปสร้างธุรกิจ สร้างรายได้ด้วย

ราวปี 2556 คุณวันเลิดคิดขยายธุรกิจด้วยระบบแฟรนไชส์ขึ้นมา กับรูปแบบแฟรนไชส์ที่ไม่มีค่าแรกเข้า ไม่ต้องกำเงินก้อนมาวางตรงหน้าเจ้าของสิทธิ์ ส่วนด้านองค์ความรู้ในการปรุงรส หากเป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารทั่วไป แน่นอนว่าสูตร คือสิ่งที่ต้องหวงแหน ส่งผลให้แฟรนไชซีต้องพึ่งพาบริษัทแม่ไปตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ แต่นี่กลับไม่ใช่ความคิดของคุณวันเลิด เพราะคุณวันเลิดมองว่าถ้าจะให้อาชีพใคร ก็ขอให้แบบไม่กั๊ก

ฉะนั้น สูตร จึงไม่ใช่ ความลับ อีกต่อไป โดยคุณวันเลิดยินดีสอนให้กับผู้ประกอบการทุกรายที่เข้ามาร่วมลงทุนเป็นแฟรนไชซี

“เราไม่คิดค่าแฟรนไชส์ ไม่คิดค่าแรกเข้า แต่ส่วนที่ทำข้อตกลงกันคือ 10 เปอร์เซ็นต์จากผลกำไรของแฟรนไชซี โดยระบุอายุสัญญาแฟรนไชส์แบบปีต่อปี ซึ่งจนถึงบัดนี้เปิดดำเนินมาประมาณ 3 ปี ปัญหาไม่เกิดขึ้น ทุกคนบอกว่ายอดขายเพิ่ม ไม่มีใครโกหกนะ และจากได้สอนสูตรให้ หลายคนอาจมองว่าความรู้รั่วไหล เป็นผลเสียในภายหลัง แต่เท่าที่ผ่านมา เราไม่เคยเจอว่าใครทำในสิ่งไม่ควรเลย” คุณชนิดา กล่าว