เริ่มด้วยทุนหลักหมื่น! วิศวะหนุ่มผันตัวเป็นพ่อค้าเสื้อยืด ปั้นยอดขายปีล่าสุด 400 ล้าน!

เริ่มด้วยทุนหลักหมื่น! วิศวะหนุ่มผันตัวเป็นพ่อค้าเสื้อยืด ปั้นยอดขายปีล่าสุด 400 ล้าน!

เสื้อยืดคอกลมสีสันและลวดลายหลากหลาย เน้นความเรียบง่าย เจาะกลุ่มลูกค้าวัยหนุ่มสาว แบรนด์ Rude Dog (รูด ด็อก) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อราว 7 ปีก่อน ตั้งต้นจาก “ความหลงใหล” ใน ที-เชิ้ต เป็นหลักใหญ่ บวกกับใจรักในการออกแบบของวิศวกรหนุ่ม วัย 20 เศษ

และแม้ช่วงเวลานั้น เขาจะมีงานประจำเป็นหลักฐานมั่นคงพอสมควรแล้ว แต่ยังเจียดเวลาช่วงกลางคืน มาสวมบทบาท “พ่อค้า-ขายส่ง” ที่ตลาดนัดจตุจักร

เริ่มจากควักทุนหลักหมื่น ผลิตเสื้อยืดออกมาขาย ผ่านไปปีแรก จึงลงทุนเพิ่มราว 1 ล้านบาท กระทั่งมีรายรับมากขึ้น ถึงขั้นมากกว่าเงินเดือนวิศวกร เจ้าของกิจการท่านดังกล่าว จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ หันมาทำธุรกิจเสื้อยืดแบบเต็มตัว

คำถามแรกของบทสนทนาเริ่มต้น ไม่ชอบงานประจำหรือ คุณเคน-อุดมศักดิ์ รักรอด ซีอีโอหนุ่มแห่งบริษัท อาร์ดี บ็อกซ์ จำกัด เจ้าของเสื้อยืดแบรนด์ Rude Dog ยิ้มแย้มเป็นกันเอง ก่อนบอก ชอบงานออกแบบ ใจจริงอยากเป็นมัณฑนากร ตอนทำงานประจำได้ทำงานแค่ด้านเดียว แต่งานที่ชอบไม่ได้ทำเลย ประกอบกับช่วงนั้น อยากมีธุรกิจด้วย เลยคิดว่าทำในสิ่งที่ชอบดีกว่า

“เริ่มต้นจากการออกแบบโลโก้ก่อน แต่ยังไม่รู้จะทำธุรกิจอะไรนะ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ผิดจากหลักในตำราทั้งหลาย เพราะความจริงแล้ว ต้องดูก่อนว่าตลาดต้องการอะไร แล้วเราจะขายสิ่งนี้ไปรอดมั้ย” คุณเคน ย้อนจุดเริ่ม ก่อนหัวเราะอารมณ์ดี

และว่าถึง โลโก้ ที่คิดแบบออกมาก่อนจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่จะขายคืออะไรนั้น เขาเริ่มต้นจากสิ่งที่ชอบและใกล้ตัว กระทั่งมาสรุปที่ สุนัขพันธุ์บูลเทอร์เรีย ที่ตาตี่ ตัวเล็ก ซุกซน แต่มีเสน่ห์ ที่หลายคนชื่นชอบ ก่อนใส่ชื่อให้เป็น Rude Dog แปลเป็นไทยว่า “หมาหยาบคาย”

จากนั้นไล่มาถึงขั้นตอน “หาผลิตภัณฑ์” คิดไม่นาน ได้ข้อสรุปทำสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ง่ายที่สุด นั้นคือ ที-เชิ้ต เพราะเขาชอบสวมใส่มากๆ ซื้อติดตู้ไว้ตลอด เป็นสินค้าที่หาซื้อง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย เหมือนยาสามัญประจำบ้าน ที่ทุกคนต้องมีไว้ ไม่มากก็น้อย

“ตอนคิดจะทำเสื้อยืดขาย ไม่ได้เอาหลักเศรษฐศาสตร์ หรือหลักการตลาดแนวไหนมาตีกรอบเลยว่าจะทำออกมาขายใคร เพราะเริ่มทำจากความชอบ คิดแค่ว่าคนที่ชอบแบบเดียวกัน คงมาหาเราเอง ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง” คุณเคน เล่ายิ้มๆ

 ย้อนไปเมื่อครั้งเริ่มต้น ต้องยอมรับว่า เสื้อผ้า “แบรนด์หมา-หมา” ในตลาดนั้นมีอยู่ไม่น้อย แล้วเหตุไฉน ที-เชิ้ต “หมาหยาบคาย” อย่าง Rude Dog ถึงสามารถ “แทรกตัวเอง” ให้ทะลุโดดเด่นขึ้นมาได้ ชายหนุ่ม เจ้าของกิจการท่านเดิม นั่งนึกครู่หนึ่ง ก่อนบอก

“พูดตรงๆ ผมเป็นคนจน ไม่มีเงินทุนอะไรมากนัก สิ่งที่ต้องทำในตอนนั้นคือ เสื้อยืดของเรา ต้องเข้าถึงง่าย สัมผัสแล้วถูกใจภายใน 5 วินาที พอรู้ราคา ต้องพูดว่า ราคาแค่นี้ ได้คุณภาพถึงขนาดนี้เลยหรือ”

“เรื่องอาร์ตเวิร์ก อาจช่วยได้ 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อตาสัมผัส แต่ถ้าลูกค้าเกิด รักแรกพบ จับปั๊บรักเลย นี่แหละจะขายได้ กรณีที่เป็นที-เชิ้ต คนซื้อต้องการความนุ่มที่สุด ไม่หด สีไม่ตก เราจึงต้องเสาะแสวงหามาให้ได้ ทั้งวัตถุดิบและการผลิต จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สรุปน่าจะเป็นอาร์ตเวิร์กและวัตถุดิบ ที่ทำให้ Rude Dog โดดเด่นมานับแต่นั้น”

สำหรับช่องทางจำหน่าย เริ่มต้นจากหน้าร้าน “ขายส่ง” ในตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเปิดขายช่วงกลางคืน ขณะเดียวกัน คุณเคนก็อาศัยช่องทาง “โซเชียลมีเดีย” ซึ่งเวลานั้นอาจยังไม่แพร่หลายมากนัก โดยเริ่มจาก การถ่ายรูปสินค้า ลูกค้า บรรยากาศค้าขายในร้าน ก่อนนำไปโพสต์ในอินสตาแกรมและเว็บไซต์ ทำแบบง่ายๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว

ต่อจากนั้นจึงรุกเข้าไปบนแพลตฟอร์มโฆษณาบนเฟซบุ๊ก กระทั่งปัจจุบันเพจ Rude Dog มียอดไลก์ 1.5 ล้าน และเข้าถึงการรับรู้ของผู้ใช้ได้ถึง 62 ล้านแอ๊กเคานต์

“เฟซบุ๊ก ทำให้เอสเอ็มอี ลืมตาอ้าปากได้นะ เมื่อก่อนถ้าจะทำเสื้อผ้าให้ขายดี อาจต้องไปออกทีวี ซึ่งราคามันแพงมาก ต่อให้มีทีวีดิจิตอลก็ตาม ยังเข้าถึงยากมาก แต่ตอนนี้คุณมีเงินหลักร้อยหลักพัน สามารถลงโฆษณาสินค้าไปโลดแล่นในมือถือได้ นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก และวัดผลได้ คนดูกี่คนแล้ว” คุณเคน ว่าจริงจัง

ปัจจุบัน กิจการ Rude Dog เดินทางมาถึงจุด “แตกไลน์” สินค้า เพื่อให้เสื้อผ้าแต่ละแบรนด์ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป ทั้งแนวสตรีต แนวคู่รัก แนวสปอร์ตแวร์ โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เสื้อผ้าทุกแบรนด์ ภายใต้การดูแลของบริษัท อาร์ดี บ็อกซ์ จำกัด นั้น ถูกบรรจุไว้ในร้าน DOXX (ด็อกซ์) ของตัวแทนจำหน่ายกว่า 400 รายทั่วประเทศ

“รูปแบบธุรกิจของเรา คือ ขายส่ง 100 เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่ตัวแทนจำหน่ายจะได้ คือ การคิดแบบเบ็ดเสร็จทั้งหมด พวกเขาไม่ต้องไปทำตลาดเอาเอง เราในฐานะผู้ผลิตจะตัดตอนมาสร้างทีมดูแลให้ตัวแทนจำหน่ายโดยเฉพาะ ผมเชื่อว่าแบรนด์ระดับกลางถึงล่าง ไม่มีใครคิดเรื่องนี้ให้ตัวแทนจำหน่าย และสิ่งนี้นี่เอง ที่ทำให้ตัวแทนของเราล้มหายตายจากไปน้อยมาก ส่วนใหญ่อยู่แล้วอยู่เลย ยิ่งช่วงเศรษฐกิจดีๆ กำลังซื้อเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุกปี” คุณเคน บอกอย่างนั้น

 พูดคุยมาถึงตรงนี้ ยังไม่เห็นความยากลำบากในการทำธุรกิจของเขาเลย คุณเคนถึงกับหัวเราะร่วน ก่อนบอก “มีสิครับ ถ้าให้เล่าต้องใช้เวลา 4 วันนะ”

จากนั้น จึงสาธยายให้ฟัง ช่วงเริ่มก่อตั้งน่าจะหนักสุด เนื่องจากเป็นธุรกิจขนาดเล็ก เงินทุนน้อยแค่ 50,000 กว่าบาท ที่ซื้อของล็อตแรกมาทำอยู่ 1 ปี จึงกู้แบงก์มาลงทุนเพิ่มราว 1 ล้านบาท

“ธุรกิจไซซ์เล็ก อำนาจการต่อรองน้อย การที่จะเข้าถึงวัตถุดิบดี เนื้อผ้าดี มันยากมาก เขาไม่สนใจเราเลย เพราะเราตัวเล็กตัวจ้อยมาก ต้องทำไปสักพัก ค่อยๆ สั่งสมเงินทุน คืบเข้าไปทีละนิด ใช้เวลาประมาณ 2 ปี พอชื่อมันมีในตลาด เขาเริ่มมองเห็น ผู้หลักผู้ใหญ่ พวกเจ้าของโรงทอผ้า จึงให้โอกาส

และอีกอย่าง เราไม่ได้มาทางนี้โดยตรง แต่เริ่มต้นจากเรียนรู้ลองผิดลองถูก บางครั้งอาจต้องเสียเงินเป็นแสนๆ เพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่างนิดหน่อย เช่น ถ้าจะใช้สีสกรีนสีนี้ แต่ไม่รู้ว่าต้องใช้เครื่องอบอุณหภูมิ 150 องศา แต่ที่มีอยู่คือ 100 องศา สินค้าออกไปถึงมือลูกค้างานเสีย ก็เจอลูกค้าต่อว่ากันไป” คุณเคน เผยประสบการณ์

เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ยังวิ่งขายส่งอยู่เลย คุณเคนยิ้มกว้าง ก่อนบอก ไม่เคยคิดว่าจะมาถึงวันนี้ แต่ก็ภูมิใจมาก ปัจจุบันมีลูกน้อง 80 คน ดูแลด้านการตลาดและดูแลลูกค้าตัวแทนจำหน่าย ส่วนการผลิต ใช้ซัพพลายเออร์ 100 เปอร์เซ็นต์ ยอดขายปีล่าสุดอยู่ที่ 400 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนสินค้าตกราว 1,800,000 ชิ้น

เมื่อถามถึงความตั้งใจในธุรกิจนี้ ซีอีโอหนุ่มไฟแรง บอกว่า อยากทำให้สินค้าของ DOXX ไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าของคนไทยทุกคนให้ได้ และถ้า “แข็งแรง” ขึ้น จะออกไปตีตลาด CLMV หลังจากนั้นจึงค่อยรุกคืบไปในกลุ่มประเทศเซาท์อีสต์เอเชีย

ก่อนจาก ขอให้ฝากถึงแนวคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ คุณเคน บอก ถ้าถอดรหัสจาก Rude Dog น่าจะประกอบไปด้วย 2 ประการ คือ ข้อแรก สินค้าต้องดีพอจริงๆ เพราะถ้าสินค้าไม่ดีพอ คนเสพครั้งเดียวจบ และข้อสอง การตลาดต้องแตกต่าง ต้องยกมือขึ้นมาให้ได้ ว่าฉันเด่นที่สุด ท่ามกลางนักเรียน 200 คน จะอยู่นิ่งไม่ได้เลย ไม่ใช่ใครทำอะไรฉันก็ทำ ต้อง “คิดต่าง” ถ้าการตลาดแบบนี้คนทำแล้ว เราไม่ทำซ้ำ นี่คือความ “กล้าได้ กล้าเสีย”

“อย่าทำอะไรที่ชาวบ้านเขาทำกันอยู่แล้ว ต้องทำให้ต่าง ไม่จำเป็นต้องคิดเยอะก็ได้ แต่คิดให้ต่างจริงๆ มีความกล้าพอ ไม่ต้องสนใจคนรอบข้างมากนัก ความคิดเจ๋งๆ มักจะเป็นความคิดที่แปลกประหลาดเสมอ ถ้าแคร์คนรอบข้างมากไป มันจะบั่นทอนความกล้าดีของเรา

 เมื่อคิดต่างแล้วทำเลย ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบในโลกใบนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงจุดที่ดีที่สุด ความสนุกของมันคือการเดินทางบนความไม่สมบูรณ์แบบนี่แหละ ถ้ามัวแต่รอไม่มีทางเกิด สรุปคือ คิดให้ต่าง ทำเลย เข้าใจง่ายมาก แต่ทำโคตรยากเลย” คุณเคน บอกทิ้งท้าย อย่างนั้น

เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2562