“เหนื่อย…แต่สุขใจที่ได้ทำเพื่อลูก” คุณแม่ใจสู้ ไลฟ์สดขายน้ำพริก หาเงินเลี้ยงลูกพิการ

“เหนื่อย…แต่สุขใจที่ได้ทำเพื่อลูก” คุณแม่ใจสู้ ไลฟ์สดขายน้ำพริก หาเงินเลี้ยงลูกพิการ

หลายต่อหลายครั้งที่เราได้เห็นความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่ทำเพื่อลูกได้ทุกอย่าง เนื่องในเทศกาลวันแม่ปีนี้ เส้นทางเศรษฐีขอนำเสนอเรื่องราวของ คุณแม่สู้ชีวิต ที่ไม่เคยย่อท้อ เธอไลฟ์สดขายน้ำพริกเลี้ยงลูกพิการ แม้เหนื่อยแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก ความเหนื่อยนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความสุขได้ในพริบตา

คุณมิ้นปรียาภา ศุปธรรม คุณแม่วัย 26 ปีเล่าให้ฟังว่า เดิมทีเธอทำงานอยู่ที่สนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง เธอก็เหมือนผู้หญิงทั่วไป ที่มีสามีมีครอบครัว ต่อมาก็ตั้งครรภ์ใช้ชีวิตและให้กำเนิดน้องบิวไปตามปกติ

คุณมิ้นและน้องบิว

จนเมื่อพบว่าลูกสาวของตนที่ขณะนั้นอยู่ในวัยเพียง เดือนไม่มีพัฒนาการใดๆ อย่างที่เด็กควรจะเริ่มมี อาทิการตะแคงตัวหรือนอนคว่ำ จึงพาลูกไปตรวจ จนทราบว่าลูกตัวน้อยของเธอมีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงตั้งแต่กำเนิด

ตอนนั้นหมอส่งให้ไปทำกายภาพ คิดว่าไม่เป็นอะไรมากเพราะเด็กเดี๋ยวนี้เป็นโรคพัฒนาการช้ากันเยอะ ก็พาน้องบิวไปกายภาพที่โรงพยาบาล อาทิตย์ละ วัน วันละ ชั่วโมง ตั้งแต่อายุได้ เดือนจนน้องบิวได้ขวบนิดๆ หมอเห็นว่าอาการไม่ปกติเลยส่งตัวไปตรวจสมองอีกโรงพยาบาลหนึ่ง จนได้รู้ว่าน้องป่วยเหมือนมีน้ำอยู่ในสมอง หมอเขาก็สรุปได้ว่าลูกเราสมองพิการ…” คุณมิ้น กล่าว

ได้ฟังแล้วหัวใจคนเป็นแม่แทบแตกสลาย คุณมิ้นเล่าให้ฟังต่อว่า ตอนได้ยินหมอสรุปอาการน้องแบบนั้นตนน้ำตาคลอเบ้าและนิ่งอึ้งไปสักพัก จนได้สติและกลั้นใจถามหมอกลับไปว่า ลูกของเธอมีโอกาสหาย ลุกนั่งหรือเรียกเธอว่าแม่ได้บ้างหรือไม่

เท่าที่เคยรักษามาไม่มีใครหายและเด็กแบบนี้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน คำพูดนี้ในฐานะคนเป็นแม่ เราฟังแล้วจำได้ไม่ลืมเลย” คุณมิ้น กล่าว

เธอเล่าต่อว่า ช่วงแรกที่ทราบว่าน้องสมองพิการ เกิดความคิดเข้ามาว่าไม่อยากสู้ต่อเพราะคิดว่ายังไงก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น เงินก็ไม่มี ชีวิตก็แย่ แต่เมื่อหันไปเจอลูกก็คิดได้ว่าถ้ามันจะแย่ก็ไห้มันแย่ไป เลยตั้งหลักสู้สักครั้งช่วยลูกกายภาพต่อไป

จากนั้นคุณมิ้นจึงลาออกจากงานและเริ่มมองหาอาชีพอื่นที่ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร จะได้มีเวลาดูแลลูกได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งเป็นการช่วยสามีแบ่งเบาภาระทางการเงินด้วย

คุณมิ้น กล่าว ในการดูแลน้องบิวนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงเพราะน้องต้องกินนมทางการแพทย์ซึ่งมีราคาแพง รายได้ของพ่อน้องบิวที่จากการรับจ้างเพียงพอแค่ค่านมเท่านั้น ส่วนเบี้ยคนพิการได้รับเดือนละ 800 บาทก็ได้แค่ค่าแพมเพิร์สที่น้องใช้

เธอเลยมานั่งคิดว่า ตนเองมีสูตรน้ำพริกที่ได้มาจากแม่สามี ซึ่งเป็นน้ำพริกที่อร่อยมาก จึงตัดสินใจหันมาทำน้ำพริกขายออนไลน์และไปรับพวกผลไม้อบแห้งมาขายเพิ่มด้วย โดยใช้เวลาช่วงเย็นหรือค่ำ ประมาณ ชั่วโมงในการไลฟ์สด

ใช้มือถือติดขาตั้งกล้องวางข้างเตียงไลฟ์สดแบบง่ายๆ ขายมาแล้วกว่า ปี ทำขายจนมีแบรนด์ น้ำพริกคั่วน้องบิว” เป็นแบรนด์ของตัวเอง

ลูกค้ามีทั้งขาประจำและขาจรที่เข้ามาอุดหนุนจากกระแสแชร์โพสต์และกระแสข่าวเยอะหน่อย พอผ่านไปสักพักก็เงียบ ลูกค้าประจำก็มีมาซื้อเพราะสงสารน้องบิวแต่เขาจะมาช่วยซื้อหรือส่งของมาให้น้องบิวเดือนละครั้งสองครั้งซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ช่วยตามกำลังทรัพย์ที่มี ทำให้รายได้ของคุณมิ้นไม่แน่นอนนัก

ถามว่าเหนื่อยไหมมันก็เหนื่อยนะแต่ในเวลาที่เหนื่อยมันกลับเป็นความสุขที่เราสามารถทำอะไรสักอย่างให้ลูกได้โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน มิ้นไม่ได้หวังหรือเรียกความสงสารให้มีหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือมากมาย เพราะมิ้นยังสามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง อีกอย่างก็มองว่ายังมีคนที่ลำบากที่ควรได้รับการช่วยเหลือตรงนี้มากกว่าเรา เลยไม่ได้ตั้งความหวังอะไรไว้เยอะ” คุณมิ้น กล่าวทิ้งท้าย

น้ำพริกคั่วน้องบิว มีให้เลือกทั้งหมด รส อาทิ น้ำพริกกุ้งคั่ว ขนาด 70 กรัมน้ำพริกปลาช่อนคั่ว ขนาด 80 กรัมน้ำพริกน้ำย้อยกุ้งแห้ง ขนาด 70 กรัม และน้ำพริกกากหมู ขนาด 63 กรัม ส่วนผลไม้อบแห้งมีตั้งแต่ลำไยสตรอว์เบอร์รี่ และมะม่วงอบแห้ง จำหน่ายในราคา 130 บาททุเรียนอบกรอบ ราคา 220 บาทอัลมอนด์อบเนย ครึ่งกิโล ราคา 300 บาทขนุนอบกรอบ 100 บาท และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ราคา 150 บาท

หากใครสนใจอยากอุดหนุน สามารถเข้าไปสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก Preeyapa Supatam หรือเบอร์โทรศัพท์ (094) 636-8680

 

เผยแพร่ครั้งแรก วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2562